“เทวินทร์” ซีอีโอ ปตท.คนใหม่ สานต่อวิสัยทัศน์และภารกิจเพื่อนำพา ปตท.เป็นบริษัทพลังงานข้ามชาติชั้นนำอย่างยั่งยืน พร้อมกับให้ความสำคัญด้านการกำกับกิจการที่ดี โปร่งใส และลดการผูกขาด หวังสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจจากสังคม เผย ปตท.อยู่ระหว่างทบทวนการลงทุนถ่านหินและท่ออียิปต์ว่าจะทำต่อหรือขายทิ้งเหมือนธุรกิจปาล์มน้ำมัน คาดรู้ผล ม.ค. 59 พร้อมเร่งหาโอกาสซื้อกิจการแหล่งปิโตรเลียมเพื่อสร้างการเติบโตให้ ปตท.สผ.ในช่วง 3 ปีนี้ ยอมรับรายได้ ปตท.ปี 58 วูบจากราคาน้ำมันตกและผลกระทบการปรับมาตรฐานบัญชีใหม่
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) แถลงนโยบายทิศทางการดำเนินงานของ ปตท.ว่า จะสานต่อวิสัยทัศน์และพันธกิจของ ปตท.เพื่อให้ก้าวสู่การเป็นบริษัทพลังงานข้ามชาติชั้นนำอย่างยั่งยืน และเป็นองค์กรที่ได้รับความไว้วางใจและเชื่อมั่นจากประชาชน โดยจะให้ความสำคัญด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ซึ่งได้วางเป้าหมายภายใน 3 ปีภายใต้การบริหารงานของตน ปตท.จะต้องได้รางวัลองค์กรโปร่งใสจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และกลยุทธ์สู่ความยั่งยืนของ ปตท.นั้น วัฒนธรรมองค์กรต้องเป็นคนเก่ง ดี รับผิดชอบดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม
พร้อมทั้งโครงสร้างธุรกิจต้องมีความชัดเจน ธุรกิจใดที่มีการแข่งขันน้อยจำเป็นต้องสร้างความโปร่งใส เปิดเผยตรวจสอบได้ รวมทั้งผลักดันคู่แข่งมากขึ้น อาทิ ธุรกิจท่อก๊าซฯ ก็จะมีการแยกบัญชี และพร้อมที่จะดำเนินการแยกธุรกิจออกมาจาก ปตท. โดยจัดตั้งบริษัทใหม่ภายใน 9 เดือนหลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ รวมทั้งลดการถือหุ้นในโรงกลั่นน้ำมันลง อาทิ การขายหุ้นบางจากทั้งหมดออกไป รวมทั้งจะขายหุ้นที่ถืออยู่ทั้งหมด 36%ในโรงกลั่นสตาร์ปิโตรเลียมฯ (SPRC) ด้วย ส่วนธุรกิจ NGV ก็จะผันมาเป็นผู้ขายก๊าซตามแนวท่อแล้วให้เอกชนเป็นผู้ซื้อและจำหน่ายผ่านปั๊มเอ็นจีวีเอง โดย ปตท.จะคงจำนวนปั๊มเอ็นจีวีเท่าที่วางเป้าหมายไว้ เป็นต้น
สิ่งที่ท้าทายภายใต้ภาวะราคาน้ำมันที่ตกต่ำในครั้งนี้ได้เปลี่ยนโครงสร้างพลังงานโลกทำให้โอกาสที่ราคาน้ำมันจะปรับตัวสูงขึ้นภายในระยะเวลาสั้นเป็นไปได้ยาก ขณะที่ทรัพยากรในประเทศเองที่นับวันจะลดน้อยถอยลง และ ปตท.ก็ได้มีการต่อยอดมูลค่าเพิ่มจากการใช้ทรัพยากรในประเทศอย่างเต็มที่ ดังนั้น ทำอย่างไรจึงจะรักษาธุรกิจที่มีอยู่ให้ยั่งยืนต่อไปได้ และหา S Curve ใหม่เพื่อให้องค์กรเติบโตต่อเนื่อง โดยอาศัยจุดแข็งของ ปตท.ที่มีการพัฒนาองค์ความรู้จากรุ่นสู่รุ่น และหาพันธมิตร อาทิ การพัฒนาLocal Brand ให้ก้าวสู่ Regional Brand โดยอาศัยโมเดลการทำธุรกิจค้าปลีกน้ำมันแบบไลฟ์สเตชันไปลงทุนยังต่างประเทศ เป็นต้น
นายเทวินทร์กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการทบทวนการลงทุนเพื่อสร้างความชัดเจนว่าธุรกิจใดแข่งขันได้หรือไม่ภายใต้ภาวะราคาพลังงานต่ำที่มีแนวโน้มต่ำต่อเนื่องอีกหลายปี เช่น ธุรกิจท่อก๊าซฯ ที่อียิปต์ และธุรกิจถ่านหินที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจว่าจะลงทุนต่อหรือจะขายธุรกิจออกไป คาดว่าจะมีความชัดเจนในเรื่องดังกล่าวภายในเดือน ม.ค. 2559 โดยยอมรับว่าราคาถ่านหินได้ปรับตัวลดลงมากเหลือไม่ถึง 50 เหรียญสหรัฐ/ตัน สอดคล้องราคาน้ำมัน ทำให้ต้นทุนการผลิตบางเหมืองสูงจนต้องลดการผลิตลง แต่ทั้งนี้ยอมรับธุรกิจถ่านหินยังพอมีกำไรอยู่บ้างแต่น้อยลงมาก และยังต้องลดกำลังการผลิตลงจากเดิม 10-11 ล้านตัน/ปี
แต่หากผลการพิจารณาตัดสินใจเดินหน้าธุรกิจถ่านหินต่อก็มีโอกาสที่จะเข้าไปซื้อกิจการเหมืองถ่านหินเพิ่มเติมที่ปัจจุบันมีราคาถูกลง ส่วนธุรกิจปาล์มน้ำมันที่อินโดนีเซียนั้น ทางบอร์ด ปตท.เห็นชอบยุติการลงทุน โดยได้ทยอยขายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันไปแล้ว 3 โครงการจากทั้งหมด 5 โครงการ ก็จะมีการขายเพิ่มเติมในเร็วๆ นี้
นอกจากนี้ บริษัทยังมองหาโอกาสที่จะซื้อกิจการธุรกิจต้นน้ำด้านพลังงานเพิ่มเติมเพื่อสร้างการเติบโตให้กลุ่ม ปตท.ได้ทันที หลังจากพบว่าธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของ บมจ.ปตท.สผ.จะต้องใช้เวลา 3-4 ปีในการเติบโตจากการพัฒนาโครงการใหม่ ดังนั้น การเติบโตของ ปตท.สผ.จากนี้จะมาจากการซื้อกิจการ (M&A) ซึ่งเป็นจังหวะที่ดีเพราะหลายบริษัทในธุรกิจนี้เริ่มมีปัญหาด้านเงินทุน ขณะที่กลุ่ม ปตท.ก็มีกระแสเงินสดในมือถึง 2 แสนล้านบาท เพียงพอที่จะใช้ลงทุนโครงการต่างๆ เช่น ท่อเส้นที่ 4 ธุรกิจ LNG และซื้อกิจการ (M&A) ด้วย
นายเทวินทร์กล่าวต่อไปว่า ปตท.ยังอยู่ระหว่างการจัดทำแผนงบลงทุนปี 2559 งบการลงทุนรวม 5 ปี และแผนธุรกิจใน 20 ปีข้างหน้า ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จใน ธ.ค.นี้ โดยจะอยู่ภายใต้ 3 สมมติฐาน คือ สมมติฐานแรก ราคาน้ำมันต่ำสุดหรือประมาณกว่า 30 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล สมมติฐานที่ 2 กรณีราคาน้ำมันสูงระดับปานกลาง และสมมติฐานที่ 3 กรณี Best case ซึ่งแตกต่างจากเดิมที่มีแผนธุรกิจบนสมมติฐานเดียว ทำให้การจัดแผนทำได้ล่าช้า โดยประเมินว่าราคาน้ำมันในปีหน้าจะอยู่ที่ระดับบาร์เรลละ 50 เหรียญสหรัฐบวก/ลบ
สำหรับผลประกอบการในปีนี้ ปตท.จะมีรายได้รวมต่ำกว่าปีก่อนที่มีรายได้ 2.8 ล้านล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงมากกว่า 50% จากปี2557 ที่มีราคาน้ำมันเฉลี่ย 80-90 เหรียญ/บาร์เรล โดยปีนี้ราคาน้ำมันอยู่ที่ประมาณ 45 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้ราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวลง และยังได้รับผลกระทบจากการปรับมาตรฐานบัญชีใหม่ที่จะกระทบต่อรายได้ ปตท.ประมาณ 10% จากงบการเงินรวมบริษัทย่อย
“ปตท.จะใช้ 4 นโยบาย เพียงพอ ทั่วถึง เป็นธรรม และยั่งยืน เพื่อนำพา ปตท.ให้เป็นองค์กรพลังงานชาติที่ยั่งยืนของไทย รวมทั้งให้ความสำคัญต่อการกำกับดูแลกิจการที่ดี โปร่งใส และตรวจสอบได้ รวมทั้งรับผิดชอบต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เป็นองค์กรที่สังคมเชื่อมั่นและไว้วางใจ” นายเทวินทร์กล่าว