เปิดแผนพัฒนาที่ดินทำเลทอง 4 แปลงใหญ่ของ ร.ฟ.ท. ซึ่งจะเปิดเอกชนร่วมลงทุน มูลค่ากว่าแสน ล. ตั้งเป้าผุดแลนด์มาร์ก ศูนย์กลางคมนาคมขนส่งและเศรษฐกิจ หวังล้างหนี้ 8 หมื่น ล. ฟื้นฟูกิจการ พลิกโฉมเป็น ร.ฟ.ท.ยุคใหม่
นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เปิดเผยว่า ร.ฟ.ท.กำลังเร่งรัดแผนพัฒนาที่ดิน 4 แปลงใหญ่ โดย 1.ที่ดินย่านมักกะสัน ได้ข้อสรุปกับกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลังที่จะได้รับสิทธิในการเช่าที่ดินในระยะยาว จำนวน 99 ปี เพื่อชำระหนี้คงค้างมูลค่าประมาณ 61,846 ล้านบาท โดยอยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียดการย้ายโรงงานมักกะสัน โรงพยาบาลบุรฉัตรไชยากร (โรงพยาบาลรถไฟ) และบ้านพักพนักงาน 2.ที่ดินบริเวณบางซื่อ อยู่ระหว่างศึกษาความเหมาะสมด้านธุรกิจ และการลงทุนโครงการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ เพื่อเป็นศูนย์กลางการเดินรถไฟ 3.ที่ดินย่านสถานีแม่น้ำ 4.ที่ดินบริเวณ กม.11 ซึ่งจะมีการสำรวจและทบทวนผลการศึกษาเดิมให้เรียบร้อยภายในปีนี้
แหล่งข่าวจาก ร.ฟ.ท.กล่าวว่า ตามข้อตกลงกรมธนารักษ์ต้องการให้ส่งมอบพื้นที่มักกะสัน 497 ไร่ ภายใน 2 ปี ซึ่งในทางปฏิบัติไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ทั้งหมดได้ เนื่องจากตามผลศึกษาในการย้ายโรงงานมักกะสัน จะใช้เวลาประมาณ 4 ปี โดยในช่วง 2 ปีแรก ร.ฟ.ท.จะส่งมอบพื้นที่แปลงA ซึ่งอยู่หน้าสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ จำนวน 140 ไร่ ให้ก่อน เนื่องจากปัจจุบันพื้นที่ว่าง จากนั้นจะทยอยส่งมอบพื้นที่โรงพยาบาลรถไฟ และบ้านพัก และในสัปดาห์นี้จะมีการหารือกับผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเพื่อตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อพิจารณาและศึกษาแนวทางในการย้ายโรงงาน โรงพยาบาล และบ้านพักออกจากพื้นที่ให้เร็วขึ้นอีกด้วย
ส่วนพื้นที่บริเวณสถานีบางซื่อ 305 ไร่ มีโครงการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ 218 ไร่ กำหนดพื้นที่ดำเนินการออกเป็น 3 โซน ประกอบด้วย โซน A จำนวน 35 ไร่ โซน B จำนวน 78 ไร่ โซน C จำนวน 105 ไร่ โดยได้นำแนวคิด TOD (Transit Oriented Development) ซึ่งบริษัทที่ปรึกษาจะส่งมอบผลการศึกษาภายในเดือน ธ.ค.นี้ ส่วนโซน D จำนวน 87.5 ไร่ ทางสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เป็นผู้ศึกษาออกแบบรายละเอียดศูนย์คมนาคมขนส่งพหลโยธิน และต้นแบบการพัฒนาโดยรอบศูนย์กลางคมนาคม ซึ่งหลังตรวจรับผลการศึกษาทั้งหมดแล้วจะพิจารณารูปแบบการพัฒนาที่เหมาะสมเพื่อออกประกาศเชิญชวนเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนตามขั้นตอน การร่วมทุนระหว่างรัฐ และเอกชน หรือ Public Private Partnerships (PPP) โดยประเมินว่าแนวทางที่เหมาะสมคือ รวมประมูลพื้นที่ทั้ง 3 โซน และแบ่งเฟสในการพัฒนา
สำหรับโครงการพัฒนาพื้นที่ย่านสถานีแม่น้ำ จำนวน 260 ไร่ และโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณ กม.11 จำนวน 359 ไร่นั้น จะสรุปข้อมูลและผลศึกษาเสนอที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ร.ฟ.ท.ในเดือน พ.ย.นี้ เพื่อขอความเห็นชอบในหลักการดำเนินโครงการแบบ PPP พร้อมกันนี้ ร.ฟ.ท.จะดำเนินการว่าจ้างที่ปรึกษาดำเนินการศึกษารายละเอียดตามข้อกำหนดของการลงทุนแบบ PPP ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ.2556 (พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ 56) โดยตั้งวงเงินงบประมาณไว้ โครงการละ 15 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม มูลค่าในการพัฒนาที่ดิน 4 แปลงใหญ่ คิดเป็นเงินกว่าแสนล้านบาท ซึ่งจะทยอยแบ่งเฟสในการลงทุนเพื่อให้โครงการมีความเป็นไปได้ และมีผลตอบแทนในการลงทุนที่จูงใจ เช่น พื้นที่บางซื่อ เบื้องต้น กำหนดให้พัฒนาพื้นที่โซน A ก่อน และในอีก 5 ปีต่อไป หรือในปี 2564-2565 จึงจะพัฒนาพื้นที่โซน B เป็นต้น ซึ่งในส่วนของ ร.ฟ.ท.จะเริ่มมีรายได้จากการพัฒนาพื้นที่ชัดเจนเมื่อเริ่มพัฒนาไปแล้ว 4-5 ปี
ปัจจุบัน ร.ฟ.ท.มีหนี้สินประมาณ 113,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นหนี้ของแอร์พอร์ตลิงก์ประมาณ 33,000 ล้านบาท ซึ่งหากเจรจาแยกบัญชีกันได้ ร.ฟ.ท.จะเหลือหนี้ประมาณ 80,000 ล้านบาท และหากพัฒนาที่มักกะสันเพื่อชำระหนี้กับคลังกว่า 60,000 ล้านบาท จะเหลือหนี้ประมาณ 20,000 ล้านบาท ซึ่ง ร.ฟ.ท.สามารถนำรายได้จากการพัฒนาย่านบางซื่อ กม.11 และสถานีแม่น้ำมาชำระหนี้ได้อย่างแน่นอน
สำหรับที่ดินของ ร.ฟ.ท.ทั่วประเทศ มีจำนวน 234,976 ไร่ เป็นที่ดินใช้เพื่อการเดินรถ 198,674 ไร่ (84%) ประกอบด้วย พื้นที่เขตทาง 189,586 ไร่ ย่านสถานี 5,333 ไร่ และบ้านพัก 3,755 ไร่ เป็นที่ดินไม่ใช้เพื่อการเดินรถ 36,302 ไร่ (15.4%) ประกอบด้วย ที่ดินจัดประโยชน์ได้ 34,487 ไร่ ย่านพหลโยธิน 1,070 ไร่ และบ้านพัก 745 ไร่