“ออมสิน” เร่งประมูลรถไฟทางคู่ 6 เส้นทางตามแผน ด้าน “วุฒิชาติ” ยันเซ็นสัญญาก่อสร้างได้ 3 สายใน ธ.ค.นี้ พร้อมเตรียมเปิดอีก 6 เส้นทางระยะสุดท้ายเชื่อมทั่วประเทศ วงเงินกว่า 1 แสนล้าน เปิดนโยบายให้เอกชนร่วมลงทุนเพื่อลดภาระหนี้ภาครัฐ ขณะที่จ่อคุยคลังขอ 1.3 หมื่นล้านค่ารื้อย้ายโรงงานมักกะสันไปแก่งคอย เพื่อส่งพื้นที่ให้คลังเช่า 99 ปี ล้างหนี้กว่า 6 หมื่นล้าน
นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังมอบนโยบายกับผู้บริหารการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เมื่อวันที่ 21 ต.ค.ว่า ได้ติดตามความคืบหน้าโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ 6 เส้นทาง ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ ประกอบด้วย 1. ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย ระยะทาง 106 กม. วงเงิน 10,992.47 ล้านบาท ซึ่งกำลังประกวดราคา คาดว่าจะลงนามสัญญาก่อสร้างในต้นเดือน ธ.ค.นี้ 2. ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ระยะทาง 185 กม. วงเงิน 26,005 ล้านบาท อยู่ระหว่างประชาพิจารณ์ TOR คาดว่าจะลงนามสัญญาก่อสร้างได้ในกลางเดือน ธ.ค.นี้ 3. ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทาง 167 กม.วงเงิน 17,291 ล้านบาท รายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ได้รับความเห็นชอบแล้ว อยู่ระหว่างเสนอสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งจะเร่งลงนามสัญญาในเดือนธ.ค.เช่นกัน
4. ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 132 กม. วงเงิน 29,853 ล้านบาท 5. ช่วงนครปฐม-หัวหิน ระยะทาง 165 กม. วงเงิน 20,036 ล้านบาท 6. ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง 148 กม. วงเงิน 24,840 ล้านบาท อยู่ระหว่างการพิจารณารายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งตามแผนจะประกวดราคาในปี 2559 ซึ่งจะนำเสนอขออนุมัติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อเปิดประกวดราคาคู่ขนานไปด้วย โดยยังไม่มีข้อผูกพันจนกว่า EIA จะเรียบร้อย เพื่อเร่งรัดงาน
นอกจากนี้ยังมีโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่อีก 6 เส้นทาง ระยะทางรวม 1,349 กม. วงเงินกว่า 1 แสนล้านบาทประกอบด้วย 1. ช่วงปากน้ำโพ-เด่นชัย ระยะทาง 258 กม. 2. ช่วงขอนแก่น-หนองคาย ระยะทาง 174 กม. 3. ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 90 กม. 3. ช่วงชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี ระยะทาง 309 กม. 5. ช่วงชุมพร-สุราษฏร์ธานี ระยะทาง 167 กม. 6. ช่วง สุราษฎร์ธานี-หาดใหญ่-สงขลา ระยะทาง 324 กม. โดยอยู่ระหว่างการศึกษา ทั้งนี้ 6 เส้นทางดังกล่าว ร.ฟ.ท.จะเปิดให้เอกชนที่สนใจเข้ามาร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP เพื่อลดภาระหนี้สาธารณะของภาครัฐ
ส่วนโครงการก่อสร้างรถไฟสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต สัญญาที่ 1 (งานก่อสร้างสถานีกลางและศูนย์ซ่อมภาพรวมบำรุง) และสัญญาที่ 2 (งานก่อสร้างทาง) ในภาพรวมมีความคืบหน้าประมาณ 40% ส่วนสัญญา 3 (งานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมตู้รถไฟฟ้าบางซื่อ-รังสิต และบางซื่อ-ตลิ่งชัน) มูลค่า 27,926 ล้านบาท ล่าสุดได้สรุปผลการเจรจาราคากับกลุ่มกิจการร่วมค้า MHSC Consortium (บริษัท MITSUBISHI Heavy Industrial Ltd บริษัท Hitachi และ บริษัท Sumitomo Corporation) ที่ 32,399 ล้านบาท ซึ่งเกินกรอบที่บอร์ด ร.ฟ.ท.ได้ปรับกรอบวงเงินใหม่ไว้ที่ 30,500 ล้านบาท ซึ่งจะมีการเสนอ ครม.เพื่อขอปรับเพิ่มกรอบวงเงินส่วนที่เกินดังกล่าวโดยจะเร่งสรุปและลงนามสัญญาภายในเดือน ธ.ค.นี้ และดำเนินการจัดหาระบบและตัวรถเพื่อเปิดเดินรถในปี 2561-2562 พร้อมกันนี้ได้เร่งรัดโครงการรถไฟสายสีแดงอ่อน ช่วงพญาไท-หัวหมาก และสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง วงเงิน 44,157.76 ล้านบาท และรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ ช่วงพญาไท-บางซื่อ เพื่อนำเสนอ ครม.เนื่องจากมีช่วงที่ต้องใช้ทางร่วมกัน จึงต้องออกแบบไปพร้อมกัน
ด้านนายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร ผู้ว่าการ ร.ฟ.ท.กล่าวถึงการพัฒนาย่านโรงงานมักกะสัน 497 ไร่ว่า ที่ปรึกษาได้สรุปรายงานฉบับสุดท้ายกรณีการย้ายโรงซ่อมมักกะสัน, โรงพยาบาลบุรฉัตรไชยากร (โรงพยาบาลรถไฟ) และบ้านพักพนักงานไปที่แก่งคอย โดยมีค่าดำเนินการประมาณ 13,000 ล้านบาท ซึ่ง ร.ฟ.ท.จะเจรจากับกระทรวงการคลังเรื่องงบดำเนินการรื้อย้าย เพื่อเร่งมอบพื้นที่ให้คลังตามข้อตกลงเช่าระยะยาว 99 ปี ในการชำระหนี้มูลค่าประมาณ 61,846 ล้านบาท คาดว่าจะรื้อย้ายแล้วเสร็จในปี 2563-2564
ปัจจุบัน ร.ฟ.ท.มีหนี้สินประมาณ 113,000 ล้านบาท โดยเป็นหนี้ของแอร์พอร์ตลิงก์ประมาณ 33,000 ล้านบาท ซึ่งหากเจรจาแยกบัญชีได้ ร.ฟ.ท.จะเหลือหนี้ประมาณ 80,000 ล้านบาท และหากเดินหน้าพัฒนาที่มักกะสันเพื่อชำระหนี้กับคลังกว่า 60,000 ล้านบาท จะเหลือหนี้ประมาณ 20,000 ล้านบาท ซึ่งจะหาทางเพิ่มรายได้เพื่อชำระหนี้ โดยจะมีการปรับโครงสร้างองค์กร เร่งโครงข่ายรถไฟทางคู่เพิ่มศักยภาพการขนส่งด้านลอจิสติกส์ที่ตลาดยังมีความต้องการอีกมาก สำหรับรายได้รวมเฉลี่ยประมาณ 10,000 ล้านบาทต่อปี เป็นรายได้จากการขนส่งสินค้า 2,000 ล้านบาท, ผู้โดยสาร 3,600 ล้านบาท รายได้อื่นๆ เช่น ที่ดิน ประมาณ 2,500 ล้านบาท ซึ่งปี 2559 คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มจากที่ดินอีกประมาณ 1,000 ล้านบาท