xs
xsm
sm
md
lg

PTTGC ล้มแผนผุด “ปิโตรเคมีฯ” ที่บาลองกัน เผยเร่งหาทำเลใหม่ คาดสิ้นปีรู้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“พีทีที โกลบอลฯ” จับมือเปอร์ตามิน่าหาทำเลที่ตั้งโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ใหม่จากเดิมที่เมืองบาลองกัน ทางตอนกลางของเกาะชวา คาดชัดเจนปลายปีนี้ ส่งผลให้โครงการดังกล่าวล่าช้าออกไป เผยเร่งหาพาร์ตเนอร์ใหม่เพิ่มในโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่สหรัฐฯ ลดความเสี่ยงการลงทุน

แหล่งข่าวระดับสูง บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทฯ ร่วมกับเปอร์ตามิน่า ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติของอินโดนีเซีย อยู่ระหว่างการศึกษาคัดเลือกทำเลที่ตั้งโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ใหม่อีกครั้ง จากเดิมที่เคยมีแผนจะสร้างโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่เมืองบาลองกัน (Balongan) ตอนกลางของเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย คาดว่าจะมีความชัดเจนในปลายปีนี้ ส่งผลให้การลงทุนโครงการดังกล่าวต้องล่าช้าออกไปจากเดิมที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2563

โดยทำเลที่ตั้งโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ใหม่จำเป็นต้องมีโรงกลั่นน้ำมันเพื่อนำวัตถุดิบ คือ แนฟทา ที่ได้จากโรงกลั่นมาเป็นวัตถุดิบต่อยอดไปสู่ปิโตรเคมี ทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำแข่งขันได้ เพราะหากจะนำเข้าแนฟทาจากต่างประเทศมาผลิตปิโตรเคมีจะไม่มีความคุ้มค่าการลงทุนได้ ซึ่งขณะนี้ทางบริษัทกับเปอร์ตามิน่าฯ ได้ร่วมกันพิจารณาในหลายทำเลเพื่อรอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน

สำหรับมูลค่าการลงทุนในโครงการดังกล่าวนี้อาจจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างขึ้นอยู่กับขนาดของโรงกลั่นน้ำมัน ที่จะมีผลต่อขนาดโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ใหม่ ซึ่งเดิมคาดว่าจะใช้เงินลงทุน 4-5 พันล้านเหรียญสหรัฐในโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่บาลองกัน ประกอบด้วย โอเลฟินส์แครกเกอร์ขนาด 1.5 ล้านตัน/ปี และต่อยอดไปผลิตเม็ดพลาสติกชนิดต่างๆ โดยซาอุดิ อารัมโกได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ปรับปรุงโรงกลั่นน้ำมันขนาด 1.25 แสนบาร์เรล/วัน

ทั้งนี้ โครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่อินโดนีเซีย ทางเปอร์ตามิน่าถือหุ้น 51% และพีทีที โกลบอล เคมิคอล 49% โดยเบื้องต้นได้ร่วมกันทำตลาดเม็ดพลาสติกในประเทศอินโดนีเซีย รองรับโครงการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เนื่องจากอินโดนีเซียเป็นตลาดใหญ่ กำลังการผลิตเม็ดพลาสติกไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ทำให้ต้องนำเข้าจากต่างประเทศจำนวนมาก

แหล่งข่าวกล่าวถึงความคืบหน้าการลงทุนโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ซึ่งจะใช้วัตถุดิบคือก๊าซอีเทนจากโครงการ Shale Gas ว่า ขณะนี้โครงการดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนการออกแบบทางวิศวกรรมเพื่อสรุปความเป็นไปได้โครงการและเงินลงทุนรวม คาดว่าจะแล้วเสร็จในกลางปี 2559 ขณะเดียวกันก็เจรจาผู้ขายวัตถุดิบหลายรายที่จะมาป้อนโครงการไปพร้อมๆ กันด้วย

โดยโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่สหรัฐฯ จะประกอบด้วยโครงการอีเทน แครกเกอร์ 1 ล้านตัน/ปี และโครงการผลิตเม็ดพลาสติก HDPE 7 แสนตัน/ปี, โครงการ MEG 5แสนตัน/ปี และโครงการ EO 1 แสนตัน ใช้เงินลงทุนประมาณ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2563 โดยเม็ดพลาสติกที่ผลิตได้จะขายในตลาดสหรัฐฯ

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่สหรัฐฯ ว่า จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่เติบโตในอัตราชะลอตัว ทำให้บริษัทฯ ต้องการหาพันธมิตรร่วมทุนเพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันมีมารูเบนี ซึ่งเป็นบริษัทเทรดดิ้งของญี่ปุ่นเข้ามาถือหุ้น โดยพีทีที โกลบอลฯ ต้องการถือหุ้นใหญ่เกิน 50% อยู่ ขณะเดียวกันก็เดินหน้าโครงการอยู่

ส่วนในประเทศเองก็มีแผนจะนำแนฟทาที่ได้จากโรงกลั่นจากเดิมส่งออกมาเป็นวัตถุดิบเพื่อต่อยอดปิโตรเคมี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาว่าจะลงทุนโครงการใดบ้าง แต่จะเน้นการผลิตเม็ดพลาสติกเกรดพิเศษที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ซึ่งจะมีผลทำให้งบการลงทุนใน 5 ปีข้างหน้าของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากเดิมที่เคยตั้งไว้ 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ
กำลังโหลดความคิดเห็น