PTTGC จับมือมารูเบนี ยักษ์ใหญ่เทรดดิ้งญี่ปุ่น ร่วมทุนโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่รัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐฯ มูลค่าโครงการ 5.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมเล็งหาพันธมิตรเพิ่มเสริมความแข็งแกร่ง เผยไตรมาส 3/58จ่อเซ็นสัญญาร่วมทุนพันธมิตรผุดโครงการEO/EG มูลค่า1พันล้านเหรียญสหรัฐ รวมทั้งขยายกำลังการผลิตLLDPEเพิ่ม
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)(PTTGC) เปิดเผยความคืบหน้าโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ในสหรัฐฯว่า บริษัทฯจะร่วมทุนกับมารูเบนี ซึ่งเป็นบริษัทเทรดดิ้งญี่ปุ่นที่มีความชำนาญตลาดในสหรัฐ เพื่อทำโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่ใช้ก๊าซอีเทนจากShale Gas เป็นวัตถุดิบ คาดว่าจะลงนามสัญญาร่วมทุนได้ในครึ่งปีหลังนี้ พร้อมทั้งจะหาพันธมิตรใหม่เพิ่มเติมอีกรายซึ่งจะเป็นผู้ใช้ผลิตภัณฑ์เข้ามาร่วมทุน จากปัจจุบันที่เจรจาอยู่ 6 ราย โดยPTTGCจะถือหุ้นใหญ่เกิน 50%
สำหรับทำเลที่ตั้งโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์จะอยู่ในรัฐโอไฮโอ บริเวณแหล่งมาร์เซลลัส ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นแหล่งShale Gas ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ และมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อผลตอบแทนการลงทุน มีความพร้อมด้านแรงงาน รวมทั้งยังได้รับการสนับสนุนโครงการทั้งด้านภาษี เงินสนับสนุนจากภาครัฐด้วย ซึ่งการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในสหรัฐฯส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นโครงการร่วมทุนดังกล่าวนี้จะผลิตเม็ดพลาสติกเพื่อทำตลาดภายในสหรัฐฯ
โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่สหรัฐฯนี้จะประกอบด้วยโครงการอีเทน แครกเกอร์ 1 ล้านตัน/ปี และโครงการผลิตเม็ดพลาสติกHDPE 7 แสนตัน/ปี ,โครงการ MEG 5แสนตัน/ปี และโครงการ EO 1 แสนตัน ใช้เงินลงทุนรวม 5.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2563
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวถึงโครงการ PU-Project ซึ่งเป็นห่วงโซ่ผลิตภัณฑ์โพลียูริเทนว่า บริษัทคาดว่าจะลงนามสัญญาร่วมทุนกับพันธมิตรที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีและตลาดได้ภายในไตรมาส 3 นี้ เพื่อตั้งโรงงานผลิต โพรพิลีนออกไซด์ (PO) ขนาด 2 แสนตัน/ปี และโครงการโพลีออล ขนาด 1-1.5 แสนตัน/ปี มูลค่าลงทุนราว 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการและผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 4/2562
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะขยายกำลังการผลิตLLDP เพิ่มอีก 3 แสนตัน/ปี จากปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตอยู่ 4 แสนตัน/ปี คาดว่าจะเดินหน้าการลงทุนโครงการดังกล่าวได้ในไตรมาส 3 นี้เช่นกัน โดยโครงการนี้บริษัทถือหุ้น 100% ผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2561
ส่วนความคืบหน้าของโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ ในอินโดนีเซียนั้น ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน หลังจากเปอร์ตามิน่า ซึ่งเป็นผู้ร่วมทุนได้คัดเลือกซาอุดิ อารัมโก้มาเป็นพันธมิตรเพื่อปรับปรุงโรงกลั่นน้ำมันเดิม จึงอยู่ระหว่างการเจรจาที่จะดึงซาอุดิ อารัมโก้เข้ามาร่วมทุนในโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ด้วย คาดว่าจะมีความชัดเจนในปีนี้
ทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกขณะนี้ได้ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 63-65 เหรียญสหรัฐ /บาร์เรล ทำให้ราคาเม็ดพลาสติกขยับขึ้นไปตาม โดยล่าสุดราคาเม็ดพลาสติกHDPEอยู่ที่ตันละ 1.4 พันเหรียญสหรัฐ ขณะที่ส่วนต่างราคาผลิคภัณฑ์เม็ดพลาสติกกับวัตถุดิบอยู่ราว 800 เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งสูงกว่าสเปรดเม็ดพลาสติกในไตรมาส 1/2558 ทำให้แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2558 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิดีกว่าไตรมาสแรกที่มีกำไร 5,631 ล้านบาท
