xs
xsm
sm
md
lg

PTTGCเจียดงบ 4.5พันล.ซื้อหุ้นคืน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - พีทีที โกลบอลฯประกาศซื้อหุ้นคืน (Treasury Stocks) 90 ล้านหุ้นหรือคิดเป็น 2%ของหุ้นทั้งหมด หลังพบว่าราคาหุ้นต่ำกว่าBook Value ที่ 51-52 บาท ชี้บริษัทฯมีสภาพคล่องสูงกว่า 4หมื่นล้านบาท เพียงพอลงทุนโครงการต่างๆและซื้อหุ้นคืน ด้านปตท.เผยราคาน้ำมันที่ลดต่ำมาก ทำให้ต้องเก็บเงินสดไว้มาก ล่าสุดมีเงินในมือ 6-8หมื่นล้านบาทมั่นใจราคาน้ำมันดูไบไม่ร่วงแตะ 30เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แนะนักลงทุนซื้อเก็บหุ้น PTT เหตุราคาต่ำ ส่วนIRPC หวั่นQ3 ขาดทุนสต็อกน้ำมันหลังราคาวูบ ยันปลายปีโครงการUHVเสร็จดันค่าการกลั่นขยับขึ้น 1-2 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)(PTTGC) เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯเมื่อวันที่ 24 ส.ค.ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนของบริษัทเพื่อการบริหารทางการเงิน (Treasury Stocks) ในวงเงินไม่เกิน 4,500 ล้านบาทหรือไม่เกิน 90ล้านหุ้นคิดเป็น 2%ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด โดยจะทำการเข้าซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ และมีกำหนดระยะเวลาการซื้อหุ้นคืน 6 เดือนนับตั้งแต่วันที่ 8 ก.ย.58-7 มี.ค.59
เหตุผลในการซื้อหุ้นคืนดังกล่าว เพื่อเป็นการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัทอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีกระแสเงินสดในมือกว่า 4หมื่นล้านบาท ซึ่งมีศักยภาพเพียงพอที่จะใช้ในการลงทุนอื่นๆรวมทั้งซื้อหุ้นคืน หลังจากหุ้นPTTGC ปรับตัวลงหลุด 50 บาท/หุ้น ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (Book Value) ที่ 51-52 บาท/หุ้น
ทั้งนี้ การซื้อหุ้นคืนทำให้ผลทำให้อัตราส่วนทางการเงินปรับตัวดีขึ้น ซึ่งจำนวนหุ้นที่ลดลงจะทำให้อัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS)เพิ่มขึ้นด้วย โดยบริษัทฯเชื่อมั่นในศักยภาพการสร้างรายได้ในอนาคต และความเข้มแข็งทางการเงิน มีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E)ต่ำซึ่งการซื้อหุ้นคืนในตลาดหลักทรัพย์ฯนั้นยืนยันว่าจะไม่มีจะทำให้สภาพคล่องหุ้นในตลาดลดลงมาก
" PTTGC ถือเป็นบริษัทแรกในเครือปตท.ที่ทำ Treasury Stocks ส่วนบริษัทอื่นในกลุ่มปตท.จะทำ Treasury Stocks ตามหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่แต่ละบริษัท ซึ่งการตัดสินใจทำ Treasury Stocks เพราะราคาหุ้นต่ำกว่า book ดังนั้นหากบริษัทฯนำเงินไปการลงทุนในหุ้นเราเองก็ได้ผลตอบแทนการลงทุนที่ไม่เลว และยังได้ปันผลในอัตราที่สูงด้วยก็เป็นการบริหารจัดการเงินสดอีกรูปแบบหนึ่ง หลังจากนั้นก็อาจจะมีการนำหุ้นที่ซื้อออกขายในตลาดฯก็ได้ "
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวถึง ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/58ว่า ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงล่าสุดน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 43 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล คงเป็นช่วงระยะสั้น จากความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจจีน และปริมาณการผลิตของอิหร่านที่จะออกสู่ตลาดเพิ่มเติม เชื่อว่าผลกระทบดังกล่าวจะไม่รุนแรงเหมือนปลายปีที่แล้วที่ระดับราคาน้ำมันจาก 100 เหรียญสหรัฐ ปรับลดลงมาอยู่ 60 เหรียญ โดยคาดการณ์ว่าปลายปีนี้ราคาน้ำมันน่าจะปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากมีความต้องการใช้ทยอยเพิ่มขึ้น แม้ว่าการผลิตน้ำมันจะยังสูงอยู่ ดังนั้น บริษัทฯคงต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ายังมีความเป็นห่วงสถานการณ์ความต้องการใช้ปิโตรเคมีที่อาจจะชะลอตัวลง จากภาวะเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว ทำให้ลูกค้าชะลอการสั่งซื้อและลดการเก็บสต็อกลง
***ปตท.เก็บเงินสดเพิ่มขึ้นหลังน้ำมันวูบหนัก
ด้านนายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT)กล่าวว่า จากแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ปตท.ต้องระมัดระวังการลงทุนแม้ว่าจะมีสภาพคล่องในมือสูงถึง 6-8 หมื่นล้านบาท และกลุ่มปตท.มีกระแสเงินสดในมือ 2.5-3 แสนล้านบาทเพื่อเตรียมพร้อมในการทำธุรกิจในอนาคตโดยช่วงภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนเช่นนี้ ปตท.ต้องเก็บเงินสดไว้มากขึ้นด้วย
ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบที่ปรับลดลงมาอยู่ในระดับ 43 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล น่าจะเป็นความผันผวนระยะสั้น และเชื่อว่าจะไม่ปรับลงไปสู่ระดับ 30 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพราะการผลิตน้ำมันมีต้นทุนการผลิตมากพอสมควร และพื้นฐานไม่น่าจะลงไปถึงระดับนั้น ทั้งนี้ ปตท.คาดว่าราคาน้ำดิบดูไบเฉลี่ยทั้งปีที่ 50-60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
สำหรับราคาหุ้น PTT ที่ปรับลดลงมานั้น มองว่าเป็นราคาถูกแล้ว ซึ่งนักลงทุนควรเข้าไปลงทุนในจังหวะที่ดี เพราะเป็นหุ้นพื้นฐานดีแม้ว่าระยะสั้นจะมีความผันผวนบ้าง ส่วน ปตท.จะยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะมีโครงการซื้อหุ้นคืนหรือไม่ แม้ว่าราคาหุ้นPTT จะต่ำกว่าBook Valueก็ตาม เพราะมีผลกระทบต่อราคาหุ้น PTT
***IRPCเมินซื้อหุ้นคืน
ด้านนายสุกฤตย์ สุรบถโสภณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (IRPC)กล่าวว่า บริษัทฯไม่มีแผนซื้อหุ้นคืนจากตลาดหลักทรัพย์ฯ เนื่องจากบริษัทฯมีโครงการลงทุนที่ต้องใช้เงินลงทุนอีกมากในอนาคต โดยในไตรมาส 4 นี้ โครงการการปรับปรุงคุณภาพการผลิตสู่ผลิตภัณฑ์สะอาด (UHV) ภายใต้โครงการฟินิกซ์จะแล้วเสร็จทำให้ค่าการกลั่นรวมเฉลี่ย (GIM) เพิ่มขึ้น 1-2เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และปีหน้ากำลังการกลั่นจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 แสนบาร์เรล/วันจากปัจจุบันกลั่นอยู่ 1.8-1.9 แสนบาร์เรล/วันจากโครงการUHV
สำหรับผลการดำเนินงาน บริษัทฯคาดว่าจะมีกำไรสุทธิในไตรมาส 3/2558 จะต่ำกว่าระดับ 4.24 พันล้านบาทในไตรมาส 2/2558 เนื่องจากค่าการกลั่น (GRM)อ่อนตัวลงเมื่อเทียบจากไตรมาส 2/2558 และราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงมากอาจทำให้เกิดการขาดทุนสต็อกน้ำมันได้ โดยบริษัทฯไม่ได้มีการทำประกันความเสี่ยงน้ำมัน(เฮดจิ้ง)เนื่องจากส่วนต่างราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปแคบมากไม่คุ้มที่จะทำเฮดจิ้งในภาวะราคาน้ำมันผันผวนเช่นนี้
สำหรับราคาน้ำมันดิบดูไบที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ บริษัทต้องปรับตัวโดยเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และโรงงานเดินเครื่องจักรได้เต็มที่ รวมทั้งบริหารสต็อกสินค้าทั้งน้ำมันและเม็ดพลาสติกให้อยู่ระดับต่ำรวมแล้วประมาณ 8 ล้านบาร์เรล คิดเป็น 30-40 วัน ซึ่งปัจจุบันมาร์จินของปิโตรเคมียังดีอยู่
กำลังโหลดความคิดเห็น