xs
xsm
sm
md
lg

PTTGC จับมือญี่ปุ่นลงทุนโพลียูรีเทน ฟุ้งปีนี้มาร์จิ้นพลาสติกดีดันกำไรพุ่ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


พีทีที โกลบอลฯ คาดสิ้นปีนี้มีความชัดเจนโครงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ โดยนำแนฟทาจากโรงกลั่นมาต่อยอดผลิตโอเลฟินส์และปิโตรเคมีขั้นปลาย คาดใช้เงินลงทุนไม่เกินพันล้านเหรียญสหรัฐ โดยล่าสุดจับมือพันธมิตรญี่ปุ่น ทั้งโตโยต้า ทูโช และซันโย เคมิคอลฯ ผุดโครงการโพลียูรีเทนในไทย แย้มปีนี้บริษัทฯ โกยกำไรสูงกว่าปี 57 เหตุมาร์จิ้นเม็ดพลาสติกสูง และทำประกันความเสี่ยงน้ำมันล่วงหน้า (เฮดจิ้ง) ไว้แล้ว

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษาโครงการสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์ (Map Ta Phut Retrofit) โดยใช้แนฟทาที่ได้จากโรงกลั่นเดิมมาต่อยอดเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์พลาสติก จากเดิมที่เคยส่งออกแนฟทาปีละ 1.32 ล้านตันมาผลิตโอเลฟินส์เพิ่มได้อีก 6 แสนตัน/ปี คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปลายปีนี้ และจะแล้วเสร็จในปี 2562

โดยแนฟทาที่ได้มาต่อยอดผลิตโอเลฟินส์ได้ 6 แสนตันประกอบด้วย เอทิลีน 4 แสนตัน/ปี และโพรพิลีน 2 แสนตัน/ปี เพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตปิโตรเคมีขั้นปลาย เช่น โพลีโพรพิลีน (PP), SAP, สไตรีน โมโนเมอร์ (SM) และ ABS/SAN โดยจะหาพันธมิตรร่วมทุนในการผลิตพลาสติกเกรดพิเศษ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนหลายร้อยล้านเหรียญสหรัฐ

ที่ผ่านมาบริษัทเลือกส่งออกแนฟทา เนื่องจากราคาแนฟทาอยู่ในเกณฑ์สูง 900 เหรียญสหรัฐ/ตัน แต่ปัจจุบันราคาแนฟทาได้อ่อนตัวลงมาเหลือเพียง 490 เหรียญสหรัฐ/ตันจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง โดยคาดว่าแนวโน้มราคาน้ำมันจะทรงตัวในระดับ 60-80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลไปอีก 5 ปีข้างหน้า จึงมองโอกาสที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มโดยใช้วัตถุดิบที่มีอยู่แล้ว และลงทุนไม่มาก รวมทั้งยังทดแทนกำลังการผลิตปิโตรเคมีที่อาจจะลดลงไปหากปริมาณก๊าซฯ ในอ่าวไทยผลิตได้น้อยลง

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ลงนามสัญญาข้อตกลงเบื้องต้น (HOA) กับพันธมิตรร่วมทุนญี่ปุ่น ในโครงการลงทุนโพลียูรีเทน (PU Chain) ในประเทศไทย เพื่อรองรับความต้องการใช้กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ก่อสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โดยบริษัทฯ ได้ลงนามกับบริษัท โตโยต้า ทูโช คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นบริษัทเทรดดิ้งประเทศญี่ปุ่น ในสัญญาศึกษาการร่วมลงทุนโครงการผลิตโพรพิลีนออกไซด์ (PO) ในไทย และบริษัทได้ทำสัญญาร่วมศึกษาโครงการผลิตโพลีอีเทอร์ โพลิออล (Polyols) กับโตโยต้า ทูโช และบริษัท ซันโย เคมิคอล อินดัสตรีส์ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตโพลิออลรายใหญ่ของญี่ปุ่น คาดว่าผลการศึกษาทั้ง 2 สัญญานี้จะชัดเจนในไตรมาส 3/2559

ทั้งนี้ โครงการโพลียูรีเทนจะใช้เงินลงทุนรวม 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ประกอบด้วยการผลิตโพรพิลีน ออกไซด์ 2 แสนตัน/ปี และโพลีออล 1.3 แสนตัน/ปี ตั้งอยู่ในนิคมฯ เหมราชตะวันออก จังหวัดระยอง คาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2562 โดยพีทีที โกลบอลฯ ถือหุ้นใหญ่ทั้ง 2 โครงการนี้

นายสุพัฒนพงษ์กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่ใช้ Shale Gas เป็นวัตถุดิบที่สหรัฐฯ มูลค่าเงินลงทุน 5.7 พันล้านเหรียญสหรัฐว่า โครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้โครงการ ออกแบบก่อสร้าง และการจัดหาเงินกู้ รวมทั้งอยู่ระหว่างการเจรจาหาพันธมิตรร่วมทุนเพิ่มเติมด้วย คาดว่าจะมีความชัดเจนโครงการนี้ในปีหน้า

ส่วนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่อินโดนีเซียนั้นคงต้องเลื่อนการตัดสินใจลงทุนออกไปก่อน หลังจากอินโดนีเซียมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ค่าเงินรูเปียอ่อนค่าลง และน้ำมันที่ปรับตัวลงทำให้ต้องพิจารณาการลงทุนรอบคอบขึ้น

นายสุพัฒนพงษ์กล่าวยืนยันว่า บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากกรณีที่จีนลดค่าเงินหยวน เนื่องจากบริษัทส่งออกเม็ดพลาสติกไปจีนเพียง 10% ของมูลค่าการส่งออกรวม 30% ตลาดจีนยังมีความต้องการใช้เม็ดพลาสติกไม่ได้ลดลงเลย ขณะที่ตลาดส่งออกในประเทศอื่นๆ ก็ยังดีอยู่ ส่วนตลาดในประเทศไทยที่ผู้ใช้หันมาสั่งซื้อเม็ดพลาสติกในปริมาณที่ลดลงแต่สั่งซื้อบ่อยขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงจากการสต๊อกสินค้า

นายปฏิภาณ สุคนธมาน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทคาดว่าจะมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและภาษี (EBITDA) สูงกว่าปีก่อน ส่งผลให้ทั้งปี 2558 บริษัทมีกำไรสุทธิสูงกว่าปี 2557 ที่มีกำไรสุทธิ 1.5 หมื่นล้านบาท โดยในครึ่งแรกปี 2558 บริษัทมีกำไรสุทธิรวม 1.46 หมื่นล้านบาท

ส่วนรายได้รวมในปีนี้จะลดลงจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 5.8 แสนล้านบาท เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงทำให้ราคาปิโตรเคมีปรับตัวลง แต่ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์พลาสติก HDPE กับแนฟทา (สเปรด) ยังสูงอยู่ระดับ 700-800 เหรียญสหรัฐ/ตัน ถือเป็นปีขาขึ้นของธุรกิจโอเลฟินส์ ส่วนธุรกิจอะโรเมติกส์ยังทรงตัวอยู่ แม้ว่าราคาน้ำมันในปัจจุบันจะทรงตัวในระดับต่ำ แต่คาดว่าปีนี้บริษัทจะได้รับผลกระทบจากการขาดทุนสต๊อกน้ำมันน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยบริษัทได้มีการทำประกันความเสี่ยง (เฮดจิ้ง) น้ำมันที่ระดับต่ำอยู่ที่ต่ำกว่า 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

สำหรับงบลงทุน 5 ปี (2558-2562) จะใช้เงิน 4.5-5 พันล้านเหรียญสหรัฐเพื่อขยายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีกระแสเงินสดในมือ 5.9 หมื่นล้านบาท เพียงพอที่จะลงทุนโครงการต่างๆ รวมทั้งบริษัทยังมีศักยภาพที่จะกู้เงินเพิ่มเติม เนื่องจากมีอัตราหนี้สินต่อทุนต่ำเพียง 0.2 เท่า
กำลังโหลดความคิดเห็น