xs
xsm
sm
md
lg

ปตท.สผ.เลื่อนเป้าผลิต 6 แสนบาร์เรลเป็นปี 68

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ปตท.สผ.เลื่อนเป้าหมายการผลิตปิโตรเลียม 6 แสนบาร์เรล/วันในปี 2563 เป็นปี 2568 แทน หลังราคาน้ำมันปรับลดลง และไม่ต้องการเร่งรัดซื้อกิจการเพื่อหวังบรรลุเป้าหมายจนไม่ได้พิจารณาอย่างรอบคอบ เชื่อปีนี้ปริมาณการขายปิโตรเลียมโตได้ 3% ยอมรับจีนลดค่าเงินหยวนกดราคาน้ำมันดิบวูบ ด้าน GPSC ฟุ้งปีนี้กำไรทุบสถิติสูงสุด จ่อซื้อกิจการโรงไฟฟ้าทั้งใน และต่างประเทศ

นางสาวเพ็ญจันทร์ จริเกษม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานการเงินและการบัญชี บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท.สผ.) เปิดเผยว่า บริษัทเลื่อนเป้าหมายการผลิตปิโตรเลียมในระดับ 6 แสนบาร์เรล/วันในปี 2563 ออกไปเป็นปี 2568 จากปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 3.7 แสนบาร์เรล/วัน เนื่องจากไม่ต้องการเร่งรัดซื้อกิจการ (M&A) ปิโตรเลียมเพิ่มหวังให้บรรลุเป้าหมาย แต่ต้องการพิจารณาลงทุนโครงการใหม่อย่างสมเหตุสมผล รวมทั้งราคาน้ำมันที่ปรับลดลงทำให้โครงการลงทุนใหม่อาจต้องเลื่อนการพัฒนาออกไปด้วย

โดยแหล่งปิโตรเลียมของ ปตท.สผ.ที่ได้มีการลงทุนสำรวจและพัฒนาอยู่แล้วคิดเป็นกำลังการผลิต 4.3 แสนบาร์เรล/วันในปี 2568 จึงมีเวลาอีก 10 ปีที่จะแสวงหาโอกาสที่จะซื้อกิจการแหล่งปิโตรเลียมเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย 6 แสนบาร์เรล/วัน ซึ่งเชื่อว่าน่าจะบรรลุเป้าหมายได้

ก่อนหน้านี้ทาง ปตท.สผ.วางเป้าหมายที่จะผลิตปิโตรเลียมให้ได้ 9 แสนบาร์เรล/วันในปี 2563 ทำให้มีการตัดสินใจเข้าไปลงทุนโครงการออยล์แซนด์ที่แคนาดา โครงการมอนทารา ที่ออสเตรเลีย และโครงการแหล่งก๊าซฯ ที่โมซัมบิก แต่หลังจากนั้นได้ปรับลดเป้าหมายการผลิตลงมาเหลือระดับ 6 แสนบาร์เรล/วันในปี 2563 แทน จนกระทั่งราคาน้ำมันปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงทำให้ ปตท.สผ.ตัดสินใจทบทวนนโยบายดังกล่าวใหม่เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

สำหรับปริมาณการขายปิโตรเลียมเฉลี่ยปีนี้คาดว่าจะโตขึ้น 3% จากปีก่อนที่มีปริมาณการผลิตปิโตรเลียมเฉลี่ย 3.2 แสนบาร์เรล/วัน มาจากการผลิตเต็มปีของแหล่งซอติก้า และรับรู้รายได้จากการซื้อกิจการของ HESS ในไทย ส่วนแหล่งเบอร์ซาบาที่แอลจีเรียคาดว่าปลายปีนี้จะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้

ส่วนความต้องการใช้ก๊าซฯ ในไทยปีนี้ไม่ได้ลดลง แต่เป็นการใช้ก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) นำเข้าเพิ่มมากขึ้น เพราะราคาแอลเอ็นจีถูกลงและ ปตท.มีสัญญาซื้อขายระยะยาว ทำให้ต้องลดการใช้ก๊าซฯ ในอ่าวไทยลง ขณะที่ปริมาณก๊าซฯ ในพม่ายังป้อนให้ไทยตามปกติ

นางสาวเพ็ญจันทร์กล่าวถึงกรณีที่จีนประกาศลดค่าเงินหยวนลงในช่วงนี้ว่า การลดค่าเงินหยวนของจีนทำให้มีการประเมินว่าเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลงตามไปด้วย มีผลต่อราคาน้ำมันในตลาดโลกอ่อนตัวลงตาม แต่สุดท้ายราคาน้ำมันขึ้นอยู่กับดีมานด์และซัปพลายของน้ำมัน ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวนี้คล้ายกับปี 2551 ที่เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ราคาน้ำมันดิบเคยสูงถึง 140 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ก็อ่อนตัวลงมาต่ำกว่า 40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในต้นปี 2552 และปลายปีเดียวกันราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นไปแตะ 80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงในช่วงนี้ก็ยังสูงกว่าต้นทุนการผลิต (Unit Cost) ของ ปตท.สผ.ที่อยู่ระดับ 41 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งมีค่าเสื่อมอยู่ 24-25 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยราคาขายปิโตรเลียมของบริษัทฯ ในไตรมาส 2 อยู่ที่ 48 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ดังนั้น หากราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 41 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล บริษัทฯ ก็จะไม่มีกำไรหรือขาดทุนแต่มีเงินสดเข้ามาอยู่ แต่สิ่งที่เป็นกังวลคือผลกระทบจากรายการที่ไม่ใช่การดำเนินงานหลัก (Non-Recurring) ประกอบด้วยผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการบันทึกค่าใช้จ่ายทางภาษีรอการตัดบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่อ่อนค่าลง (Deferred Tax on Functional Currency) ซึ่งบริษัทไม่สามารถบริหารความเสี่ยงเรื่องนี้ได้ต้องรอให้กรมสรรพากรแก้ไขกฎระเบียบก่อน

“ส่วนผลกระทบจากการป้องกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน (เฮดจิ้ง) นั้น บริษัทฯ ไม่ต้องการเห็นกำไรจากการเฮดจิ้งน้ำมันที่ปัจจุบันทำขั้นต่ำระดับ 50 กว่าเหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพราะถ้ายิ่งขาดทุนจากเฮดจิ้ง เป็นสัญญาณว่าราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ผลประกอบการในปีถัดไปดีขึ้น แต่ถ้ากำไรจากการทำเฮดจิ้งฯ ก็เท่ากับว่าราคาน้ำมันยังอยู่ระดับต่ำอยู่ หากราคาน้ำมันดิบคงอยู่ระดับต่ำเช่นนี้ไปถึงสิ้นปีบริษัทจะมีกำไรจากการทำเฮดจิ้งในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 นี้”

ผลการดำเนินงานครึ่งแรกปี 2558 ปตท.สผ.มีรายได้รวม 2.97 พันล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 24% และมีกำไรสุทธิ 299 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 68%

***GPSC ลั่นปีนี้โกยกำไรทุบสถิติสูงสุด

นายนพดล ปิ่นสุภา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด(มหาชน) (GPSC) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าในเครือ ปตท. กล่าวว่า ปีนี้บริษัทมั่นใจว่าจะมีรายได้และกำไรสุทธิทำสถิติสูงสุด หลังจากครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิ 1,005 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมทั้งปีนี้มีภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลงตามภาระเงินกู้ที่ลดลง รวมทั้งยังรับรู้รายได้จากเงินลงทุนในบริษัทต่างๆ เพิ่มขึ้นด้วย คาดว่าครึ่งปีหลังนี้จะมีกำไรใกล้เคียงครึ่งแรกปี 2558

นอกจากนี้ บริษัทมีแผนซื้อกิจการโรงไฟฟ้าในประเทศ 1 โรง และต่างประเทศอีก 2 โรง ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบสถานะการเงินโรงไฟฟ้าดังกล่าวอยู่ รวมทั้งมีแผนลงทุนโรงไฟฟ้าขยะ 9 เมกะวัตต์ ทำให้สิ้นปีนี้บริษัทฯ คาดว่าจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 1,872 เมกะวัตต์ และปีหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2,000 เมกะวัตต์
กำลังโหลดความคิดเห็น