ASTV ผู้จัดการรายวัน – ‘เกศรา’ ระบุจีนลดค่าหยวนกระทบจิตวิทยาการลงทุนระยะสั้น แนะนักลงทุนถือหุ้นยาว 3 ปี ด้าน ‘ประพันธ์’ ยืนยันบจ.จ่อ IPO ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ตามเป้าหมายจำนวน 20 บริษัท ขณะที่ศูนย์วิจัยทองคำคาดราคาทองในประเทศครึ่งปีหลังเฉลี่ยอยู่ที่ 18,378 บาทต่อบาททองคำ
นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. ระบุ ปัญหาค่าเงินหยวนส่งผลกระทบด้านจิตวิทยาต่อตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทยคือเศรษฐกิจภายในประเทศ หากพิจารณาผลประกอบการไตรมาส 2/58 ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าบริษัทจดทะเบียนของไทยปรับตัวได้ค่อนข้างดี และมีการกระจายการลงทุนไปยังประเทศต่างๆ ทำให้ผลประกอบการยังเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งเป็นตัวสะท้อนความแข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนไทยทำให้เชื่อว่าการลดค่าเงินไม่น่ามีผลกระทบมากนัก เพราะในช่วงที่ผ่านมาบริษัทจดทะเบียนได้รับรู้และเตรียมเรื่องนี้มาพอสมควรแล้ว
"ในช่วงที่ผ่านมาจีนตรึงค่าเงินหยวนให้ต่ำกว่าความเป็นจริง ทำให้ปัจจุบันต้องปรับลดค่าเงินหยวนเพื่อให้มีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น ตลาดหุ้นไทยนั้นก็คล้ายกับตลาดหุ้นอื่นๆที่มีความกังวลกับการปรับลดค่าเงินของจีน แต่ในประเทศไทยเชื่อว่าจะเพียงจิตวิทยาการลงทุนเท่านั้น แต่ยังเชื่อว่าหากเป็นการลงทุนระยะยาว 3 ปี จะยังให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ โดยแนะนำให้นักลงทุนเลือกลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดีและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง” นางเกศรา กล่าว
กรรมการและผู้จัดการ ตลท. เรียกร้องให้ภาครัฐต้องเร่งการลงทุนเรื่องโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ส่วนภาคเอกชนต้องจัดระบบและกระจายความเสี่ยงไปในหลายประเทศ และปรับรูปแบบสินค้าให้เป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูง อย่างไรก็ตามหากพิจารณาในสัดส่วนรายได้ของบริษัทจดทะเบียนของไทย จะพบว่ามาจากส่งออกและการลงทุนในต่างประเทศ ในระดับ 45% แต่ในส่วนนี้มีการกระจายไปในหลายประเทศ นอกจากนี้การที่การส่งออกของไทยแม้จะลดลง แต่ก็อยู่ในอัตราที่ลดลงน้อยกว่าประเทศอื่นๆ แสดงให้เห็นว่าไทยยังมีความแข็งแกร่ง และมีพื้นฐานที่ค่อนข้างดี ทำให้เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบมากนักต่อบริษัทจดทะเบียน
ด้านนายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) คาดว่าปีนี้จะมีบริษัทจดทะเบียน(บจ.) เข้าจดทะเบียนใน mai ได้ตามเป้าหมายจำนวน 20 บริษัท แต่ในส่วนของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม(มาร์เก็ตแคป) ของบริษัทที่เสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO) น่าจะทำได้ทะลุเป้าหมายมาที่ 1.5 หมื่นล้านบาท
ส่วนการที่หุ้นของบมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น (ILINK) และบมจ.ไพลอน (PYLON) ย้ายไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET)นั้น จะไม่กระทบต่อมาร์เก็ตแคปของตลาด mai เนื่องจากมีหุ้นใหม่เข้ามาทดแทน
"ปัจจุบันมีสองบริษัทที่ย้ายเข้าไปใน SET มีมาร์เก็ตแคปประมาณหมื่นล้านบาท ซึ่งคงจะไม่กระทบต่อมูลค่ามาร์เก็ตแคปรวม เพราะปีนี้เองมีบริษัทจดทะเบียนเข้ามาใหม่ 20 บริษัทที่มีมูลค่ามาร์เก็ตแคปประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท และปัจจุบันยังไม่มีผู้ที่ขอย้ายเข้าไปใน SET เพิ่มเติม แม้จะมีบริษัทที่มีคุณสมบัติย้ายเข้า SET ได้ 10 บริษัท แต่หลังจากนี้คงจะยังไม่มีเพิ่มเติม เพราะการเป็นบริษัทขนาดใหญ่ใน mai ยังน่าสนใจมากกว่าการไปอยู่ใน SET และเป็นบริษัทขนาดเล็กๆ ขณะที่ในตลาด mai กองทุนก็สามารถเข้ามาลงทุนได้"นายประพันธ์ กล่าว
ด้านนายกมลธัญ พรไพศาลวิจิต ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ เชื่อว่าตลาดทองจะได้รับอานิสงฆ์จากกรณีที่จีนประกาศลดค่าเงินหยวนลงประมาณ 3.5% ทำให้ราคาทองคำระยะสั้นปรับตัวขึ้น เนื่องจากตลาดเงินกังวลว่าจะเกิดภาวะสงครามค่าเงิน ทำให้ทิศทางอัตราแลกเปลี่ยนผันผวน นักลงทุนจึงหันมาซื้อทองคำที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยแทน ประกอบกับที่ผ่านมาทองลดลงต่ำกว่า 1,100 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทำให้ราคาทองปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยประเมินกรอบราคาทองคำช่วงระยะสั้น 1,140-1,150 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือประมาณ 19,000 บาทต่อบาททองคำ
ส่วนระยะยาว ราคาทองคำ มีโอกาสที่ปรับลดลงจากการกังวลเรื่องเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย ทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าขึ้น โดยมองว่าราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ 1,077 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และมีโอกาสจะต่ำกว่า 1,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือประมาณ 17,000 บาท ต่อบาททองคำซึ่งเหมาะกับการลงทุนระยะยาว ส่วนราคาทองคำในประเทศ ค่าเฉลี่ยราคาครึ่งหลังปี 2558 เท่ากับ 18,378 บาทต่อบาททองคำ ค่าเฉลี่ยสูงสุด 20,652 บาทต่อบาททองคำ ค่าเฉลี่ยต่ำสุด 16,218 บาทต่อบาททองคำ
พร้อมกันนี้เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำในเดือนสิงหาคม 2558 ต่ำกว่าระดับ 50 จุดเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน สะท้อนทัศนคติในเชิงลบต่อราคาทองคำ โดยค่าดัชนีปรับตัวลดลง 3.65 จุด มาอยู่ที่ระดับ 43.87 จุด จากความวิตกเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ทำให้มุมมองของผู้ลงทุนและผู้ค้าที่มีต่อราคาทองคำเป็นไปในเชิงลบ ประกอบกับเดือนที่ผ่านมาราคาทองคำในตลาดโลกอ่อนตัวลงกว่า 7.5%
นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. ระบุ ปัญหาค่าเงินหยวนส่งผลกระทบด้านจิตวิทยาต่อตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทยคือเศรษฐกิจภายในประเทศ หากพิจารณาผลประกอบการไตรมาส 2/58 ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าบริษัทจดทะเบียนของไทยปรับตัวได้ค่อนข้างดี และมีการกระจายการลงทุนไปยังประเทศต่างๆ ทำให้ผลประกอบการยังเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งเป็นตัวสะท้อนความแข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนไทยทำให้เชื่อว่าการลดค่าเงินไม่น่ามีผลกระทบมากนัก เพราะในช่วงที่ผ่านมาบริษัทจดทะเบียนได้รับรู้และเตรียมเรื่องนี้มาพอสมควรแล้ว
"ในช่วงที่ผ่านมาจีนตรึงค่าเงินหยวนให้ต่ำกว่าความเป็นจริง ทำให้ปัจจุบันต้องปรับลดค่าเงินหยวนเพื่อให้มีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น ตลาดหุ้นไทยนั้นก็คล้ายกับตลาดหุ้นอื่นๆที่มีความกังวลกับการปรับลดค่าเงินของจีน แต่ในประเทศไทยเชื่อว่าจะเพียงจิตวิทยาการลงทุนเท่านั้น แต่ยังเชื่อว่าหากเป็นการลงทุนระยะยาว 3 ปี จะยังให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ โดยแนะนำให้นักลงทุนเลือกลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดีและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง” นางเกศรา กล่าว
กรรมการและผู้จัดการ ตลท. เรียกร้องให้ภาครัฐต้องเร่งการลงทุนเรื่องโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ส่วนภาคเอกชนต้องจัดระบบและกระจายความเสี่ยงไปในหลายประเทศ และปรับรูปแบบสินค้าให้เป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูง อย่างไรก็ตามหากพิจารณาในสัดส่วนรายได้ของบริษัทจดทะเบียนของไทย จะพบว่ามาจากส่งออกและการลงทุนในต่างประเทศ ในระดับ 45% แต่ในส่วนนี้มีการกระจายไปในหลายประเทศ นอกจากนี้การที่การส่งออกของไทยแม้จะลดลง แต่ก็อยู่ในอัตราที่ลดลงน้อยกว่าประเทศอื่นๆ แสดงให้เห็นว่าไทยยังมีความแข็งแกร่ง และมีพื้นฐานที่ค่อนข้างดี ทำให้เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบมากนักต่อบริษัทจดทะเบียน
ด้านนายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) คาดว่าปีนี้จะมีบริษัทจดทะเบียน(บจ.) เข้าจดทะเบียนใน mai ได้ตามเป้าหมายจำนวน 20 บริษัท แต่ในส่วนของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม(มาร์เก็ตแคป) ของบริษัทที่เสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO) น่าจะทำได้ทะลุเป้าหมายมาที่ 1.5 หมื่นล้านบาท
ส่วนการที่หุ้นของบมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น (ILINK) และบมจ.ไพลอน (PYLON) ย้ายไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET)นั้น จะไม่กระทบต่อมาร์เก็ตแคปของตลาด mai เนื่องจากมีหุ้นใหม่เข้ามาทดแทน
"ปัจจุบันมีสองบริษัทที่ย้ายเข้าไปใน SET มีมาร์เก็ตแคปประมาณหมื่นล้านบาท ซึ่งคงจะไม่กระทบต่อมูลค่ามาร์เก็ตแคปรวม เพราะปีนี้เองมีบริษัทจดทะเบียนเข้ามาใหม่ 20 บริษัทที่มีมูลค่ามาร์เก็ตแคปประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท และปัจจุบันยังไม่มีผู้ที่ขอย้ายเข้าไปใน SET เพิ่มเติม แม้จะมีบริษัทที่มีคุณสมบัติย้ายเข้า SET ได้ 10 บริษัท แต่หลังจากนี้คงจะยังไม่มีเพิ่มเติม เพราะการเป็นบริษัทขนาดใหญ่ใน mai ยังน่าสนใจมากกว่าการไปอยู่ใน SET และเป็นบริษัทขนาดเล็กๆ ขณะที่ในตลาด mai กองทุนก็สามารถเข้ามาลงทุนได้"นายประพันธ์ กล่าว
ด้านนายกมลธัญ พรไพศาลวิจิต ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ เชื่อว่าตลาดทองจะได้รับอานิสงฆ์จากกรณีที่จีนประกาศลดค่าเงินหยวนลงประมาณ 3.5% ทำให้ราคาทองคำระยะสั้นปรับตัวขึ้น เนื่องจากตลาดเงินกังวลว่าจะเกิดภาวะสงครามค่าเงิน ทำให้ทิศทางอัตราแลกเปลี่ยนผันผวน นักลงทุนจึงหันมาซื้อทองคำที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยแทน ประกอบกับที่ผ่านมาทองลดลงต่ำกว่า 1,100 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทำให้ราคาทองปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยประเมินกรอบราคาทองคำช่วงระยะสั้น 1,140-1,150 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือประมาณ 19,000 บาทต่อบาททองคำ
ส่วนระยะยาว ราคาทองคำ มีโอกาสที่ปรับลดลงจากการกังวลเรื่องเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย ทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าขึ้น โดยมองว่าราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ 1,077 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และมีโอกาสจะต่ำกว่า 1,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือประมาณ 17,000 บาท ต่อบาททองคำซึ่งเหมาะกับการลงทุนระยะยาว ส่วนราคาทองคำในประเทศ ค่าเฉลี่ยราคาครึ่งหลังปี 2558 เท่ากับ 18,378 บาทต่อบาททองคำ ค่าเฉลี่ยสูงสุด 20,652 บาทต่อบาททองคำ ค่าเฉลี่ยต่ำสุด 16,218 บาทต่อบาททองคำ
พร้อมกันนี้เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำในเดือนสิงหาคม 2558 ต่ำกว่าระดับ 50 จุดเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน สะท้อนทัศนคติในเชิงลบต่อราคาทองคำ โดยค่าดัชนีปรับตัวลดลง 3.65 จุด มาอยู่ที่ระดับ 43.87 จุด จากความวิตกเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ทำให้มุมมองของผู้ลงทุนและผู้ค้าที่มีต่อราคาทองคำเป็นไปในเชิงลบ ประกอบกับเดือนที่ผ่านมาราคาทองคำในตลาดโลกอ่อนตัวลงกว่า 7.5%