จีนลดค่าเงินหยวนลงอีก 1.6% เหลือ 6.3306 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นการลดค่าเงินหยวนติดต่อกันเป็นวันที่ 2 กดตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่ง ขณะที่ตลาดทองคำปรับตัวขึ้นรับหยวนอ่อนค่า นักวิเคราะห์คาดหุ้นไทยวันนี้ซึมออกด้านข้าง ระบุยังคงซื้อลงทุนระยะยาวได้เพราะปัจจัยหลายบริษัทยังแข็งแกร่ง
วานนี้ (12 ส.ค.) สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า ธนาคารกลางของจีน ปรับลดค่าเงินหยวนติดต่อเป็นวันที่ 2 โดยได้ปรับลดอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนต่อดอลลาร์ลงอีก 1.6% ส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนอยู่ที่ 6.3306 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ หลังจากเมื่อวันอังคารที่ 11 ส.ค. ธนาคารกลางจีนได้สร้างความตกตะลึงด้วยการปรับลดค่าเงินหยวนลงถึง 1.9% จนถือเป็นการปรับลดค่าเงินหยวนครั้งใหญ่สุดเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์ในช่วงเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซีย พลัส ระบุการประกาศปรับลดค่าเงินหยวนของธนาคารจีนส่งผลต่อตลาดหลักทรัพย์ทั่วเอเชีย ดัชนีหุ้นได้ปรับตัวลดลงกันทั่วหน้า เพียงแต่ธนาคารกลางของจีนได้พยายามบรรเทาความวิตกกังวลของนักลงทุน โดยชี้แจงว่า การปรับลดค่าเงินหยวนครั้งนี้ไม่ใช่การเริ่มต้นในการลดค่าเงินหยวนที่จะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
ผลจากประกาศลดค่าเงินหยวนดังกล่าวก่อให้เกิดผลกระทบหลัก 2 ส่วนคือ 1.ค่าเงินในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่อ่อนตัวตามทันที โดยเฉพาะค่าเงินบาทของไทย 2.การอ่อนค่าแบบฉับพลัน และต่อเนื่องของเงินบาทแม้จะส่งผลดีต่อภาคการส่งออก แต่สำหรับภาคธุรกิจอื่นๆ อาจได้รับผลกระทบหนัก เช่น พวกที่มีหนี้สินต่างประเทศ และพวกที่มีการนำเข้าสินค้า ทั้งที่ใช้ในการผลิตและเพื่อจำหน่ายต่อ นอกจากนั้น แนวโน้มการอ่อนค่าของเงินบาทยังทำให้ Fund Flow ไหลกลับมายากมากขึ้น เพราะนอกจากความเสี่ยงจากทิศทางตลาดหุ้นขาลงในปัจจุบันแล้ว ยังต้องมีความเสี่ยงเกี่ยวกับขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนด้วย
นายประกิต คาดการณ์ความเคลื่อนไหวดัชนีหุ้นไทยวันนี้ (13 ก.ค.) ว่า ดัชนีน่าจะยังเคลื่อนไหวแดนลบ แต่อาจเห็นรีบาวนด์ระหว่างเทรด เพราะนักลงทุนเริ่มซึมซับข่าวด้านลบไปมากแล้ว อีกทั้งดัชนียังคงสามารถเคลื่อนไหวเหนือ 1,400 จุดได้อย่างแข็งแกร่ง พร้อมแนะนำเลือกลงทุนรายหลักทรัพย์ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ไม่ได้รับผลกระทบ เช่น กลุ่มทีวีดิจิตอล หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการอ่อนค่าของเงินบาท HANA อีกทั้งยังสามารถเก็งผลประกอบการงวด 2Q58 เด่น BLA, lVL, lRPC, SYNTEC และหุ้นที่ได้กระแสการเร่งอัดฉีดเงินลงทุนของภาครัฐ CK, SCC
ด้าน นายวรุต รุ่งขำ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด ระบุ การอ่อนค่าของเงินหยวนอาจจะสร้างแรงกดดันมากขึ้นให้แก่ตลาดหุ้น และสินทรัพย์เสี่ยงต่าง แต่กลับสร้างแรงซื้อเข้ามาในตลาดทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย อีกทั้งการอ่อนค่าของเงินหยวนน่าจะมีผลบวกที่ช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจจีนได้มากขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นผลดีเพราะเป็นผู้ใช้ทองคำอันดับต้นๆ ของโลกอาจมีแรงซื้อทองคำจากจีนเข้ามาอีกครั้ง
ทางวายแอลจี คาดการณ์ว่า ราคาทองคำอาจดีดตัวขึ้นมา โดยประเมินแนวต้านแรกไว้ที่ระดับ 1,119 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หากสามารถขึ้นไปยืนเหนือแนวรับได้มีโอกาสปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 1,136 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แต่หากไม่สามารถผ่านไปได้ราคาทองคำมีแนวโน้มย่อตัวลงมาบริเวณแนวรับ 1,100 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เบื้องต้น ในการเข้าซื้อทองคำทองคำนักลงทุนสามารถเข้าซื้อ-และขายทำกำไรบริเวณแนวรับ-แนวต้านได้ ทั้งนี้ นักลงทุนยังต้องระมัดระวังแรงขายหากราคาอ่อนตัวกลับลงมาหลุดแนวต้านได้
วานนี้ (12 ส.ค.) สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า ธนาคารกลางของจีน ปรับลดค่าเงินหยวนติดต่อเป็นวันที่ 2 โดยได้ปรับลดอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนต่อดอลลาร์ลงอีก 1.6% ส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนอยู่ที่ 6.3306 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ หลังจากเมื่อวันอังคารที่ 11 ส.ค. ธนาคารกลางจีนได้สร้างความตกตะลึงด้วยการปรับลดค่าเงินหยวนลงถึง 1.9% จนถือเป็นการปรับลดค่าเงินหยวนครั้งใหญ่สุดเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์ในช่วงเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซีย พลัส ระบุการประกาศปรับลดค่าเงินหยวนของธนาคารจีนส่งผลต่อตลาดหลักทรัพย์ทั่วเอเชีย ดัชนีหุ้นได้ปรับตัวลดลงกันทั่วหน้า เพียงแต่ธนาคารกลางของจีนได้พยายามบรรเทาความวิตกกังวลของนักลงทุน โดยชี้แจงว่า การปรับลดค่าเงินหยวนครั้งนี้ไม่ใช่การเริ่มต้นในการลดค่าเงินหยวนที่จะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
ผลจากประกาศลดค่าเงินหยวนดังกล่าวก่อให้เกิดผลกระทบหลัก 2 ส่วนคือ 1.ค่าเงินในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่อ่อนตัวตามทันที โดยเฉพาะค่าเงินบาทของไทย 2.การอ่อนค่าแบบฉับพลัน และต่อเนื่องของเงินบาทแม้จะส่งผลดีต่อภาคการส่งออก แต่สำหรับภาคธุรกิจอื่นๆ อาจได้รับผลกระทบหนัก เช่น พวกที่มีหนี้สินต่างประเทศ และพวกที่มีการนำเข้าสินค้า ทั้งที่ใช้ในการผลิตและเพื่อจำหน่ายต่อ นอกจากนั้น แนวโน้มการอ่อนค่าของเงินบาทยังทำให้ Fund Flow ไหลกลับมายากมากขึ้น เพราะนอกจากความเสี่ยงจากทิศทางตลาดหุ้นขาลงในปัจจุบันแล้ว ยังต้องมีความเสี่ยงเกี่ยวกับขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนด้วย
นายประกิต คาดการณ์ความเคลื่อนไหวดัชนีหุ้นไทยวันนี้ (13 ก.ค.) ว่า ดัชนีน่าจะยังเคลื่อนไหวแดนลบ แต่อาจเห็นรีบาวนด์ระหว่างเทรด เพราะนักลงทุนเริ่มซึมซับข่าวด้านลบไปมากแล้ว อีกทั้งดัชนียังคงสามารถเคลื่อนไหวเหนือ 1,400 จุดได้อย่างแข็งแกร่ง พร้อมแนะนำเลือกลงทุนรายหลักทรัพย์ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ไม่ได้รับผลกระทบ เช่น กลุ่มทีวีดิจิตอล หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการอ่อนค่าของเงินบาท HANA อีกทั้งยังสามารถเก็งผลประกอบการงวด 2Q58 เด่น BLA, lVL, lRPC, SYNTEC และหุ้นที่ได้กระแสการเร่งอัดฉีดเงินลงทุนของภาครัฐ CK, SCC
ด้าน นายวรุต รุ่งขำ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด ระบุ การอ่อนค่าของเงินหยวนอาจจะสร้างแรงกดดันมากขึ้นให้แก่ตลาดหุ้น และสินทรัพย์เสี่ยงต่าง แต่กลับสร้างแรงซื้อเข้ามาในตลาดทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย อีกทั้งการอ่อนค่าของเงินหยวนน่าจะมีผลบวกที่ช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจจีนได้มากขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นผลดีเพราะเป็นผู้ใช้ทองคำอันดับต้นๆ ของโลกอาจมีแรงซื้อทองคำจากจีนเข้ามาอีกครั้ง
ทางวายแอลจี คาดการณ์ว่า ราคาทองคำอาจดีดตัวขึ้นมา โดยประเมินแนวต้านแรกไว้ที่ระดับ 1,119 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หากสามารถขึ้นไปยืนเหนือแนวรับได้มีโอกาสปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 1,136 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แต่หากไม่สามารถผ่านไปได้ราคาทองคำมีแนวโน้มย่อตัวลงมาบริเวณแนวรับ 1,100 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เบื้องต้น ในการเข้าซื้อทองคำทองคำนักลงทุนสามารถเข้าซื้อ-และขายทำกำไรบริเวณแนวรับ-แนวต้านได้ ทั้งนี้ นักลงทุนยังต้องระมัดระวังแรงขายหากราคาอ่อนตัวกลับลงมาหลุดแนวต้านได้