xs
xsm
sm
md
lg

จำคุก 5 ปี หนุ่มลักทรัพย์บนรถทัวร์ เหตุปะทะเสื้อแดงหน้ารามฯ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


จำคุก 5 ปี หนุ่มลักเครื่องเสียงบนรถทัวร์ที่เกิดเพลิงไหม้เหตุปะทะเสื้อแดงหน้ารามฯ ปี 56 แต่ให้ยกฟ้องข้อหาวางเพลิง-มั่วสุม 10 คนก่อความวุ่นวาย ศาลชี้ไม่มีพยานหลักฐาน จำเลยให้การเป็นประโยชน์ลดโทษเหลือติดคุก 3 ปี 4 เดือน



ที่ห้องพิจารณา 603 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 11.30 น. วันนี้ (16 ก.พ.) ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.542/2557 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ และนางนฤมล คำพยัคฆ์ มารดานายสุรเดช กำแปงใจ ผู้ตายเป็นโจกท์ร่วมยื่นฟ้อง นายอดิสรณ์ หรือต้า สีจันทร์ผ่อง หรือศรีจันทร์ผ่อง อายุ 30 ปี เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย, ร่วมกันลักทรัพย์ในยวดยานสาธารณะในที่มีเหตุเพลิงไหม้ โดยใช้ยานพาหนะ และร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป โดยใช้กำลังประทุษร้ายให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง โดยมีอาวุธ ขอให้ลงโทษตาม ป.อาญา มาตรา 215, 217, 224, 335 (1) (7) (9), 336 ทวิ, 358 และให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 12,000 บาท แก่ผู้เสียหาย

โจทก์ฟ้องสรุปความผิดจำเลยว่า เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 2556 เวลากลางวัน จำเลยร่วมกับพวกรวม 15 คนได้มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ก่อให้เกิดความวุ่นวายโดยใช้เหล็กแป๊ป ค้อน ก้อนหิน ไม้ตีรถยนต์โดยสารไม่ประจำทาง หรือรถทัวร์ทะเบียน 30-0170 กำแพงเพชร ซึ่งมีนายสมพงษ์ จันทร์งาม เป็นคนขับรถ มีนายธเนศ เดชศรี เป็นเจ้าของรถ และนางสุภาภรณ์ แก้วรูปเรา เป็นผู้ครอบครองในฐานะเป็นผู้เช่าซื้อ เป็นผู้เสียหาย และจำเลยยังได้วางเพลิงเผาทัวร์ ความเสียหาย 7 ล้านบาท และนายสุรเดช หรือเจ กำแปงใจ ถึงแก่ความตาย นอกจากนี้ จำเลยยังลักทรัพย์สินรวม 7 รายการ ราคารวม 138,500 บาทของนายสมนึก แก้วรูปเรา ผู้เสียหายไป โดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะ เหตุเกิดที่แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม. จำเลยให้การรับสารภาพข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ ต่อมาระหว่างการพิจารณาได้ถอนคำให้การเดิม และให้การใหม่ว่าปฏิเสธ แต่รับว่าจำเลยได้ร่วมกับพวกลักทรัพย์สินรวม 7 รายการ ขณะไม่ได้เกิดเพลิงไหม้

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 30 พ.ย. - 1 ธ.ค. 2556 ต่อเนื่องกัน กลุ่ม นปช.ได้ร่วมตัวชุมนุมทางการเมืองที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน ขณะเดียวกันมีกลุ่มผู้คัดค้านการชุมนุมดังกล่าวรวมตัวกันในมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยมีการนำรั้วเหล็กมาผิดกั้นการจราจรที่หน้ามหาวิทยาลัย และมีการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมทั้ง 2 ฝ่าย ต่อมามีรถทัวร์ทะเบียน 30-0170 กำแพงเพชร มีนายสมพงษ์ จันทร์งาม เป็นคนขับรถ ได้รับว่าจ้างขนคนมาร่วมชุมนุมที่สนามกีฬาฯ แต่เมื่อถึงบริเวณดังกล่าว กลับถูกกลุ่มชายฉกรรจ์เข้ามาทุบทำลายรถและบุกขึ้นมาบนรถลักทรัพย์สินตามฟ้อง หลังจากนั้นได้เผาทำลายรถทัวร์ ก่อนพบศพนายสุรเดช กำแปงใจ บนรถดังกล่าว

คดีนี้โจทก์มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 นายที่รับผิดชอบคดีเป็นพยานเบิกความว่า จากการรวบรวมพยานหลักฐานจากกล้องวงจรผิด ภาพถ่าย และภาพเคลื่อนไหวจากสื่อมวลชนพบจำเลยและพวกรวม 15 คน กำลังทุบทำลายรถทัวร์ พร้อมลักเอาอุปกรณ์เครื่องเสียง โทรทัศน์ยี่ห้อซันโย และอุปกรณ์อื่นๆ จากรถ จากนั้นจำเลยเดินออกจากรถประมาณ 10 เมตรไปทางเกาะกลางถนน ก็เกิดกลุ่มควันสีดำออกมาจากรถคันดังกล่าว และเกิดเพลิงไหม้ลุกลาม รวมทั้งได้ยินเสียงคนตะโกนให้รีบหนี เนื่องจากรถกำลังระเบิด ขณะที่จำเลยให้การนำสืบว่า ระหว่างเกิดเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่ม นปช. ได้อยู่ที่บ้านพักซอยรามคำแหง 39 แต่ภายหลังคิดว่าเหตุการณ์ได้สงบลงแล้ว จึงขี่จักรยานยนต์ออกมาซื้อของ เมื่อผ่านบริเวณจุดเกิดเหตุมีชายกวักมือเรียกจึงเข้าไปลักทรัพย์สิน ซึ่งมีประจักษ์พยานเห็นจำเลยระหว่างขนทรัพย์สินและสามารถถ่ายภาพไว้ได้ แต่พยานหลักฐานของโจทก์ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยร่วมกันทุบทำลายรถทัวร์ และไม่ได้ร่วมกันวางเพลิงเผา เนื่องจากต่างคนต่างมาร่วมชุมนุมไม่ได้นัดแนะกันว่าจะเผารถเมื่อใด อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากหลักฐานกลุ่มคนที่ร่วมทุบทำลายและเผารถมีสัญลักษณ์เป็นผ้าคาดศีรษะและสวมเสื้อสีดำ แต่ไม่พบว่าจำเลยมีสัญลักษณ์ดังกล่าว รวมทั้งตามภาพถ่ายของจำเลยก็ไม่ได้ถือวัตถุหรือสิ่งของอื่นใดที่สามารถใช้ในการเผาวางเพลิงได้ โดยลำพังจำเลยอยู่ในที่เกิดเหตุไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้วางเพลิง โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานบ่งชี้ว่าจำเลยร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป เพื่อก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองและวางเพลิงเผาทำลายทรัพย์สิน จึงไม่มีความผิดฐานดังกล่าว

สำหรับความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ขณะเกิดเหตุเพลิงไหม้โดยใช้ยานพาหนะ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยอยู่ในที่เกิดเหตุและร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้รถจักรยานยนต์ แม้จำเลยให้การปฏิเสธเพียงว่าขณะลักทรัพย์ไม่มีเหตุเพลิงไหม้ แต่โจทก์มีพยานหลักฐานว่าจำเลยถือทรัพย์สินเดินออกห่างจากรถเพียง 20 วินาที ก่อนมีควันไฟออกจากรถ และมีคนตะโกนว่าให้รีบวิ่งหนีก่อนรถระเบิด คำเบิกความของจำเลยเจือสมกับพยานหลักฐานของโจทก์ จึงรับฟังได้ว่าจำเลยมีความผิดฐานร่วมลักทรัพย์ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปขณะเกิดเหตุเพลิงไหม้ โดยใช้ยานพาหนะจริงตามฟ้อง

พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (2) (7) วรรคสอง ประกอบ 336 ทวิ 83 ให้จำคุกจำเลยเป็นเวลา 5 ปี แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลย 3 ปี 4 เดือน และให้คืนโทรทัศน์ยี่ห้อซันโย ราคา 12,000 บาทแก่ผู้เสียหายด้วย










กำลังโหลดความคิดเห็น