“พาณิชย์” เผยไม่ได้ลักไก่เสนอร่างแก้ไข พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า ขยายคุ้มครองกลิ่นและเสียงเข้า ครม. แต่เป็นไปตามขั้นตอน เตรียมถกกฤษฎีกาและหน่วยงานเกี่ยวข้อง รวมทั้งเอ็นจีโอพิจารณาอีกครั้ง หลัง ครม.ให้รวมเป็นฉบับเดียวกัน ยันถ้าบังคับใช้จริงจะมีประโยชน์ต่อผู้ประกอบการไทย
นางมาลี โชคล้ำเลิศ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยถึงการเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2557 พิจารณาให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า (ฉบับที่. ...) พ.ศ. ... เพื่อขยายความคุ้มครองไปยังเครื่องหมายการค้าที่เป็นกลิ่นและเสียง และการลดระยะเวลาและปรับปรุงขั้นตอนการจดทะเบียนว่า กรมฯ ยืนยันว่าไม่ได้ลักไก่เสนอให้ ครม.พิจารณาอย่างที่ถูกกล่าวหา เพราะการแก้ไข พ.ร.บ.ดังกล่าวได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2549 แล้ว และต่อมามีการยุบสภา ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวจึงตกไป และพอมาปี 2555 ได้มีเสนอร่าง พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้าอีกหนึ่งฉบับเกี่ยวกับการเข้าเป็นภาคีพิธีสารมาดริด แต่ยังไม่ผ่านการพิจารณา ซึ่งเมื่อมีรัฐบาลใหม่ จึงเสนอการแก้ไขกฎหมายทั้ง 2 ฉบับเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.
ทั้งนี้ หลังจากเข้า ครม.ได้มีมติให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ร่วมกับกรมฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณารวมร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับเป็นฉบับเดียว เพราะมีบางมาตราซ้ำซ้อนกัน ซึ่งกรมฯ จะใช้โอกาสนี้ในการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งองค์กรภาคประชาชน (เอ็นจีโอ) ที่แสดงความไม่เห็นด้วยกับการขยายขอบเขตเครื่องหมายการค้าไปยังกลิ่นและเสียง เพื่อทบทวนว่าจะขยายการคุ้มครองไปยังกลิ่นและเสียงหรือไม่ จะได้ประโยชน์และเสียประโยชน์อย่างไร เพราะในการยกร่างกฎหมาย ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีใครคัดค้าน คาดน่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้
“กรมฯ ยืนยันว่าไม่ได้ลักไก่ หรือรีบร้อนให้กฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ แต่เป็นการเสนอตามขั้นตอน โดยการขยายขอบเขตการให้ความคุ้มครองเครื่องหมายการค้ากลิ่นและเสียง เป็นการสนับสนุนความคิดสร้างสรรค์ และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยนำกลิ่นและเสียง ซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าที่ในต่างประเทศให้ความคุ้มครองแล้ว มาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อสินค้าของคนไทย ซึ่งเป็นการส่งเสริมการตลาดให้สินค้าเป็นที่รู้จักของผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว เป็นประโยชน์ต่อการแข่งขันทางการค้า และแสดงถึงความก้าวหน้าในกฎหมายดังกล่าวของไทย อีกทั้งในปัจจุบันหลายประเทศใช้กันแล้ว เช่น สหรัฐฯ ยุโรป ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ ส่วนการลดระยะเวลาจดทะเบียนก็สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ในการลดขั้นตอนการให้บริการประชาชน”
นางมาลีกล่าวว่า การขยายขอบเขตเครื่องหมายการค้ากลิ่นและเสียง ไม่ได้เกิดผลกระทบต่อยาของไทยตามที่เอ็นจีโอกล่าวหาว่าอาจทำให้ต่างประเทศเอากลิ่นพืชสมุนไพรไทยมาสังเคราะห์ให้เป็นกลิ่นใหม่แล้วนำมาจดเครื่องหมายการค้าในไทย ได้รับความคุ้มครองในไทย และทำให้เจ้าของสินค้าไทยที่มีกลิ่นใกล้เคียงกันไม่สามารถใช้กลิ่นนั้นๆ ได้ โดยเฉพาะในสินค้ายา เพราะกรณีดังกล่าวไม่ใช่เป็นการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ากลิ่น แต่เป็นการจดทะเบียนสิทธิบัตร แต่ต้องพิสูจน์ให้ได้ก่อนว่า กลิ่นที่สังเคราะห์ใหม่มีการใช้นวัตกรรมใหม่ เพื่อทำให้ได้กลิ่นใหม่จริง จึงจะสามารถให้จดสิทธิบัตรได้
อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าในการพิจารณาให้จดเครื่องหมายการค้ากลิ่นและเสียงนั้น จะไม่อนุญาตให้นำกลิ่น หรือเสียงที่บ่งบอกถึงลักษณะของสินค้า หรือกลิ่นในธรรมชาติมาใช้จดเครื่องหมายการค้า เช่น กลิ่นกาแฟ จะใช้จดเป็นเครื่องหมายการค้าสินค้ากาแฟ หรือร้านกาแฟไม่ได้ เพราะกลิ่นกาแฟเป็นกลิ่นทั่วไปที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ, กลิ่นตะไคร้หอม จะใช้จดเครื่องหมายการค้ายากันยุงไม่ได้ หรือกลิ่นมะนาว จะใช้จดเครื่องหมายการค้าน้ำยาล้างจานไม่ได้ เป็นต้น แต่กลิ่นที่จะให้จดได้ต้องไม่บ่งบอกถึงคุณลักษณะของสินค้าเลย เช่น กลิ่นกุหลาบกับสินค้ายางรถยนต์ เป็นต้น
“กรมฯ ยืนยันว่าที่เอ็นจีโอเป็นห่วงเป็นคนละเรื่องกัน ไม่ใช่การจดเครื่องหมายการค้ากลิ่น แต่เป็นการจดสิทธิบัตร กลิ่นที่จะใช้จดเครื่องหมายการค้าต้องไม่ใช่กลิ่นที่บ่งบอกถึงคุณลักษณะของสินค้าอย่างที่อธิบายได้แล้ว จะเป็นกลิ่นอะไรก็ได้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับสินค้า ส่วนเสียงที่จะจดเป็นเครื่องหมาย เช่น เสียงไอศกรีมวอลล์ เสียงสิงโตคำรามของบริษัทผลิตภาพยนตร์ในฮอลลีวูดที่เขาจดไปแล้ว หรืออย่างจิงเกิลเข้ารายการต่างๆ ถ้าไม่มีกฎหมายคุ้มครอง เสียงเหล่านี้อาจถูกคนอื่นเอาไปใช้ เจ้าของจะเอาผิดก็ไม่ได้ แต่ถ้ามีกฎหมาย คนละเมิดจะมีความผิดตามกฎหมาย” นางมาลีกล่าว