บ้านปูลุ้นปีหน้าราคาถ่านหินขยับขึ้นบ้าง อ้าง 60 เหรียญต่ำสุดๆ แล้ว ยันรู้ความชัดเจนลุยโครงการ Coal Chemical ที่มองโกเลียต้นปีหน้า มั่นใจคุ้มการลงทุนแม้ว่าราคาน้ำมันร่วง
นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มราคาถ่านหินในปีหน้าน่าจะปรับตัวสูงขึ้นกว่าปัจจุบันที่ราคา 60 กว่าเหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งถือว่าเป็นระดับราคาที่ต่ำมากแล้ว โดยเชื่อว่ากลางปีหน้าราคาถ่านหินจะค่อยปรับขึ้น เนื่องจากปริมาณการผลิตถ่านหินเกินความต้องการใช้อยู่และจีนมีการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำมากขึ้น รวมทั้งการควบคุมการใช้ถ่านหินในเมืองใหญ่ด้วย
ในปีหน้าบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการขายถ่านหินอยู่ที่ 50 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่ 48.8 ล้านตัน โดยเหมืองถ่านหินในจีนมีการใช้เทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพทำให้กำลังการผลิตถ่านหินสูงขึ้น ขณะที่การผลิตถ่านหินที่อินโดนีเซียและออสเตรเลียจะยังคงเดิม แต่ยังคงนโยบายลดต้นทุนการผลิตลง
“ราคาน้ำมันกับถ่านหินไม่ได้เกี่ยวข้องกันทั้งหมด เนื่องจากถ่านหินจะนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ส่วนน้ำมันใช้ในภาคการขนส่ง อาจมีบ้างที่ใช้ในบางอุตสาหกรรมแต่ไม่มาก ดังนั้นราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลงคงไม่น่าจะทำให้ถ่านหินลงมากไปกว่านี้แล้ว”
นายชนินท์กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการนำร่องพัฒนาถ่านหินเป็นเคมี (Coal Chemical) ที่มองโกเลีย โดยนำถ่านหินมาผลิตเป็นทาร์ คาดว่าจะเริ่มทดสอบโครงการดังกล่าวได้ในเร็วๆ นี้ โดยจะใช้เวลา 1-2 เดือนเพื่อประเมินความเป็นไปได้ของโครงการก่อนตัดสินใจลงทุนสร้างโรงงานผลิตเชิงพาณิชย์ต่อไป
โดยเบื้องต้นโครงการดังกล่าวได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้ต้องศึกษาว่าจะเน้นผลิตให้ได้ก๊าซฯ หรือทาร์มากน้อยเพียงใด แต่มั่นใจว่าต้นทุนการผลิตทาร์จะคุ้มค่าการลงทุน เนื่องราคาถ่านหินที่แหล่งมองโกเลียมีต้นทุนที่ต่ำกว่าราคาถ่านหินจากแหล่งอื่นๆ
ทั้งนี้ บ้านปูได้เข้าไปถือหุ้นในบริษัท Hunnu Coal ซึ่งมีแหล่งถ่านหินประเภทให้ความร้อน (Thermal Coal) และถ่านหินคุณภาพสูงสำหรับอุตสาหกรรมถลุงเหล็ก (Coking Coal) อยู่ 15 แหล่ง โดยโครงการซานต์ อูล คาดว่ามีปริมาณถ่านหินสำรอง 50-60 ล้านตัน ซึ่งบ้านปูอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการตั้งโรงงาน Coal Chemical เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งกระบวนการผลิตของโรงงานดังกล่าวจะอุ่นถ่านหินทำให้เกิดก๊าซฯ มีเทนเพื่อขายไปยังโรงไฟฟ้า ขณะเดียวกันก็จะมีทาร์ออยล์ขายให้โรงงานผลิตเป็นน้ำมันดีเซลต่อไป