“น้ำตาลครบุรี” มั่นใจปีนี้รายได้และกำไรโตขึ้น 5-10% เนื่องจากมีปริมาณการผลิตน้ำตาลเพิ่มขึ้น ราคากากน้ำตาลสูงขึ้น และรับรู้กำไรจากธุรกิจไฟฟ้าในไตรมาส 4 นี้ 70-80 ล้านบาท เตรียมชงผู้ถือหุ้นอนุมัติโครงการขยายกำลังผลิตน้ำตาล 1.2 หมื่นตันอ้อยและโรงงานเอทานอล 25 ก.ค.นี้ พร้อมทั้งศึกษาการตั้งโรงงานน้ำตาลแห่งที่ 2 เงินลงทุน 6-7 พันล้านบาทภายใต้แผนลงทุน 5 ปี
นายทัศน์ วนากรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท น้ำตาลครบุรี จำกัด (มหาชน) (KBS) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้และกำไรสุทธิเติบโตขึ้น 5-10% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 5.97 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 501.54 ล้านบาท แม้ว่าปริมาณอ้อยที่เข้าหีบในปีนี้จะลดลงเหลือ 2.5 ล้านตันอ้อยจากปีก่อน 2.55 ล้านตันอ้อย แต่มีปริมาณน้ำตาลเพิ่มขึ้นเป็น 2.65 แสนตัน รวมทั้งราคากากน้ำตาลขยับสูงขึ้นจากการนำไปใช้ผลิตเอทานอล และรับรู้กำไรจากโรงไฟฟ้ากำลังผลิต 35 เมกะวัตต์ที่คาดว่าจะขายเข้าระบบในไตรมาส 4นี้ประมาณ 70-80 ล้านบาท หากคณะกรรมการบริหารมาตรการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนอนุมัติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซื้อไฟจากบริษัทฯ
“บริษัทฯ คาดว่าปีนี้จะมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 20-21% ปรับเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 18.81% เนื่องจากรับรู้รายได้จากธุรกิจไฟฟ้าในไตรมาส 4 นี้ 70-80 ล้านบาท แม้ว่าล่าช้าจากกำหนดเดิมที่วางไว้ในไตรมาส 2 เนื่องจากยังไม่มีการประชุมจากคณะกรรมการบริหารมาตรการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าฯ เพื่ออนุมัติ แม้ว่าจะได้รับใบอนุญาต รง.4 แล้วก็ตาม”
ส่วนแนวทางการก้าวสู่โมเดลธุรกิจ “ชูการ์เอ็นเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์” นั้น ล่าสุดคณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติการลงทุนโครงการขยายกำลังการผลิตอีก 1.2 หมื่นตันอ้อย/วัน ทำให้มีกำลังการหีบอ้อยรวมเพิ่มขึ้นเป็น 3.5 หมื่นตันอ้อย/วัน และก่อสร้างโรงงานผลิตเอทานอลขนาด 2 แสนลิตร/วัน ใช้เงินลงทุนรวม 4.29 พันล้านบาทนั้น และรอการอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นฯ ในวันที่ 25 ก.ค.นี้ หลังจากนั้นจะใช้เวลาก่อสร้าง 15 เดือน คาดว่าทั้ง 2 โครงการจะสามารถเปิดการผลิตได้ทันฤดูหีบอ้อย 2558/2559 โดยโครงการนี้จะทำให้บริษัทฯ มีความแข็งแกร่งขึ้น และเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นอีก 3-4% เป็น 23-25%
สำหรับแหล่งเงินทุนนั้นจะได้จากสถาบันการเงินประมาณ 2.7-3.1 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือมาจากเงินทุนหมุนเวียน และเงินสดจากการดำเนินงาน โดยมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานปีละ 800 ล้านบาท
นายทัศน์กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้บริษัทยังศึกษาความเป็นไปได้ในการตั้งโรงงานน้ำตาลแห่งที่ 2 ขนาดกำลังการผลิต 3.5 หมื่นตันอ้อย/วัน และต่อยอดไปสู่ธุรกิจไฟฟ้า 35 เมกะวัตต์และโรงงานผลิตเอทานอล 2 แสนลิตร/วันภายใต้โมเดลชูการ์ เอ็นเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนรวม 6-7 พันล้านบาท หากตัดสินใจลงทุนแน่นอนก็ต้องขออนุญาตกระทรวงอุตสาหกรรมในการตั้งโรงงานน้ำตาลแห่งใหม่ คาดว่าจะมีความชัดเจนภายใต้แผนการลงทุน 5 ปีนี้
นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะไปนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ในต่างประเทศกับบริษัทหลักทรัพย์ธนชาต ซึ่งจะไปประเทศสิงคโปร์และฮ่องกง ประมาณเดือน ส.ค.นี้ เนื่องจากนักลงทุนให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในบริษัทที่ประกอบธุรกิจน้ำตาลและต่อยอดไปสู่ธุรกิจพลังงานทั้งไฟฟ้าและเอทานอลเพื่อให้ครบวงจร อีกทั้งราคาน้ำตาลได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ล่าสุดราคาน้ำตาลโลกอยู่ที่ 18 เซ็นต์/ปอนด์ จึงเป็นหุ้นที่น่าสนใจ เพราะมีขนาดไม่ใหญ่จึงมีโอกาสเติบโตได้มากกว่า