ทาทาสตีลฯ ตั้งเป้าจ่ายเงินปันผลงวดปี 58 ครั้งแรกในรอบ 6 ปี หลังงวดปี 57 ผลดำเนินงานพลิกมีกำไรแล้ว โดยปีนี้วางแผนขายเหล็กเส้นเพิ่มขึ้น 5% จากปีก่อน เน้นส่งออกอาเซียนหลังการเมืองฉุดเศรษฐกิจไทยชะลอตัว จ่อยื่นอุทธรณ์ประกาศเก็บภาษี AD เหล็กลวดคาร์บอนสูงจากจีนอัตรา 5% ต่ำจนเกินไป หวั่นจีนส่งมาดัมป์ได้อีก
นายราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) (TSTH) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายผลดำเนินงานงวดปี 2558 (1 เม.ย. 57-31 มี.ค. 85) จะมีอัตรากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อม (EBITDA Margin) มากกว่า 5% ของรายได้ ดีขึ้นกว่าปีก่อนที่มี EBITDA Margin 4% ทำให้บริษัทฯ มั่นใจว่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลได้อีกครั้งในงวดปีนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี
“หากบริษัทฯ จะจ่ายปันผลหุ้นละ 1 สตางค์จะต้องใช้เงิน 80 ล้านบาท ภายใต้นโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่เกิน 40% ของกำไรสุทธิ โดยงวดปี 2557 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 31 ล้านบาท ความจริงแล้วจ่ายปันผลได้ แต่น้อยเกินไป จึงงดการจ่ายปันผล ซึ่งตัวเลขขาดทุนสะสมไม่มีผลต่อการจ่ายเงินปันผลด้วย”
นายราจีฟกล่าวต่อไปว่า ในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าปริมาณการขายเหล็กเส้นโตขึ้น 5% จากปีก่อนที่มีปริมาณการขาย 1.29 ล้านตัน ต่ำกว่าปีก่อนที่มีอัตราการโตของปริมาณการขายที่ 10% เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองในไทยส่งผลกระทบต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปีนี้โตแค่ 2% ทำให้ความต้องการใช้เหล็กลดลงตามไปด้วย โดยปีนี้ประเมินความต้องการใช้เหล็กในไทยโตเพียง 2.5% มาอยู่ที่ 18 ล้านตัน ดังนั้น ปีนี้บริษัทฯ เน้นการส่งออกเหล็กเส้นไปยังอาเซียนมากขึ้น โดยเฉพาะลาว กัมพูชา พม่า เป็นต้น มีสัดส่วนการส่งออกเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10% เป็น 15%
รวมทั้งบริหารจัดการองค์กรเพื่อลดต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมทั้งการบริหารจัดการการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ หันมาผลิตเหล็กเกรดพิเศษมากขึ้น เช่น เหล็กต้านแผ่นดินไหว เหล็กตัดและดัดให้กับลูกค้าตามโครงการ เป็นต้น โดยลงทุนเพิ่มเติมไปยังโรงงานเหล็กก่อสร้างสยามในเครือฯ ที่ระยอง จากปัจจุบันที่ผลิตอยู่ในจังหวัดชลบุรี
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สถานการณ์การเมืองในไทยเริ่มนิ่งหลังมีการทำรัฐประหาร และเตรียมทำงบประมาณปี 2558 ทำให้โครงการระบบสาธารณูปโภคของภาครัฐที่เคยหยุดชะงักไปกลับมาเดินหน้าได้อีกครั้ง และหากมีโครงการลงทุนใหม่เพิ่มขึ้นมากเชื่อว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นกว่า 6 เดือนที่ผ่านมา
ส่วนแผนขายเตาหลอม (MBF) ยังไม่มีความคืบหน้า เนื่องจากเป็นเตาหลอมขนาดเล็กเพียง 5 แสนตัน/ปี ซึ่งทั่วโลกต้องการเตาหลอมขนาด 1 ล้านตันขึ้นไป ดังนั้นคงพิจารณาบริษัทในเครือทาทาสตีลว่าจะสนใจซื้อหรือไม่ ซึ่งหากขายได้จะช่วยลดการขาดทุนสะสมได้
สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 1/58 (เม.ย-มิ.ย. 57) คาดว่าจะดีกว่าในไตรมาส 1/57 (เม.ย.-มิ.ย. 56) เนื่องจากปีที่แล้วมีปัญหาการดัมป์ตลาดเหล็กลวดคาร์บอนสูง
นายราจีฟกล่าวถึงกรณีที่กระทรวงพาณิชย์ออกมาตรการถาวรตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) เหล็กลวดคาร์บอนสูงที่เจือธาตุอื่นจากจีนในอัตรา 5% เมื่อวันที่ 16 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งต่ำกว่าการจัดเก็บภาษีชั่วคราวตอบโต้การทุ่มตลาดเหล็กลวดคาร์บอนสูง 4 เดือนก่อนหน้านี้ที่จัดเก็บภาษีในอัตรา 16% โดยบริษัทฯ จะขอพิจารณารายละเอียดหลักเกณฑ์ต่างๆ ก่อนตัดสินใจว่ายื่นอุทธรณ์หรือไม่ รวมทั้งจะเดินทางไปกระทรวงพาณิชย์เพื่อขอคำชี้แจงเรื่องดังกล่าวด้วย
รวมทั้งบริษัทฯ จะเสนอให้กระทรวงพาณิชย์ออกมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดเหล็กลวดคาร์บอนต่ำเจือธาตุอื่นๆ จากจีนที่เข้ามาทุ่มตลาดในไทย
“การออกมาตรการถาวรการตอบโต้การทุ่มตลาดเหล็กลวดคาร์บอนสูงฯ จากจีน โดยจัดเก็บภาษีเพียง 5% ถือว่าเป็นอัตราภาษีที่ต่ำกว่ามาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดเหล็กแผ่นรีดร้อนฯ ที่เก็บภาษี 30% ทำให้อุตสาหกรรมเหล็กลวดคาร์บอนสูงลดความน่าสนใจลง เพราะเหล็กลวดคาร์บอนสูงจากจีนยังสามารถแข่งขันในตลาดไทยได้ เพราะรัฐบาลจีนอุดหนุนการส่งออก 9% และเลี่ยงภาษีการนำเข้าโดยการเจือโบรอนในเหล็กลวดฯ อีก 5%”
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ หวังว่าการจัดเก็บภาษี AD เหล็กลวดคาร์บอนสูงจากจีนครั้งนี้อาจจะช่วยชะลอการนำเข้าเหล็กลวดคาร์บอนสูงได้บ้าง ดันให้ราคาเหล็กลวดคาร์บอนสูงขยับสูงขึ้นมา