xs
xsm
sm
md
lg

“ทาทา สตีล” ลุ้นปี 56-57 มีกำไรในรอบ 4 ปี วอนรัฐเร่งออก AD สกัดเหล็กลวดฯ จีน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ทาทา สตีล” ลุ้นผลประกอบการปี 2556-57 พลิกมีกำไรในรอบ 4 ปี แม้มาตรการชั่วคราวตอบโต้การทุ่มตลาดเหล็กลวดคาร์บอนสูงจากจีนสิ้นสุดลงเมื่อ 7 ธ.ค.ที่ผ่านมา ทำให้เหล็กลวดจากจีนทะลักเข้ามา โดยหันมาผลิตเหล็กเกรดพิเศษและลงทุนขยายโรงเหล็กตัดและดัดเพิ่ม วอนพาณิชย์เร่งออกมาตรการ AD ถาวรตอบโต้เหล็กลวดจากจีน ชี้หากเมินเฉยคงต้องหยุดผลิต ทำให้ไทยต้องนำเข้าเหล็กลวดคาร์บอนสูงทั้งหมดจากต่างประเทศ เนื่องจากบริษัทเป็นผู้ผลิตเพียงรายเดียวที่ทนผลิตอยู่

นายราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (TSTH) เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดว่าไตรมาส 4/2556-57 (ม.ค.-มี.ค. 57) จะมีปริมาณการขายเหล็กได้ 3 แสนตัน ใกล้เคียงไตรมาสก่อน ทำให้ทั้งปีมีปริมาณการขายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 1.2 ล้านกว่าตัน สูงกว่าปีก่อนเล็กน้อย โดยไตรมาส 4 นี้เป็นไตรมาสที่ท้าทายการบริหารงานบริษัท เนื่องจากมาตรการชั่วคราวตอบโต้การทุ่มตลาดเหล็กลวดคาร์บอนสูง (AD) จากจีนหมดสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 56 ทำให้ปริมาณเหล็กลวดคาร์บอนสูงราคาถูกจากจีนทะลักเข้ามาเพิ่มอีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศ ทำให้ความต้องการใช้เหล็กทรงยาวชะลอตัวบ้าง แต่บริษัทได้พยายามลดต้นทุนการผลิตลง ร่วมมือกับ Natsteel ที่สิงคโปร์ในการจัดหาวัตถุดิบราคาถูก คาดว่าผลประกอบการปี 2556-57 (เม.ย. 56 - มี.ค. 57) จะมีกำไรสุทธิได้ นับเป็นปีแรกหลังจากประสบปัญหาขาดทุนมาตลอด 4 ปีที่ผ่านมา

“ตามที่กระทรวงพาณิชย์ได้ออกมาตรการชั่วคราวตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) เหล็กลวดคาร์บอนสูงจากจีนเก็บในอัตรา 15% เป็นเวลา 4 เดือน ทำให้บริษัทฯ กลับมาผลิตเหล็กลวดคาร์บอนสูงได้เดือนละ 1 หมื่นตันอีกครั้ง ส่งผลให้การดำเนินงานบริษัทเริ่มมีกำไรขึ้นอีกครั้ง โดยงวด 9 เดือน บริษัทมีกำไรหลังหักภาษี 4 ล้านบาท ดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เคยขาดทุนถึง 991 ล้านบาท แต่ยอมรับว่าไตรมาส 4 นี้ กำไรบริษัทจะได้รับผลกระทบจากการสิ้นสุด AD ชั่วคราว”

นายราจีฟกล่าวต่อไปว่า บริษัทฯ พยายามหาแนวทางชดเชย หลังจากมาตรการ AD ชั่วคราวสิ้นสุดลง อาทิ ลดต้นทุนการผลิต หันมาทำตลาดเหล็กเกรดพิเศษ เช่น เหล็ก SD 50 ที่มีความแข็งแรงสูงเหมาะกับโครงการขนาดใหญ่ หลังจากที่ผ่านมาผลิตเพื่อส่งออกไปยังลาวเพื่อใช้สร้างเขื่อน รวมทั้งขยายไลน์การผลิตเหล็กตัดและดัด (Cut&Bend) เพิ่มขึ้นอีก 3-3.5 พันตัน/เดือน เงินลงทุน 70-80 ล้านบาท รวมกำลังการผลิตเดิมเป็น 6-7 พันตัน/เดือน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า คาดว่าโรงงานดังกล่าวจะแล้วเสร็จในเดือน ก.ย.-ต.ค. 2557

นายราจีฟกล่าวต่อไปว่า จากการร่วมประชุมหารือกับกระทรวงพาณิชย์เพื่อพิจารณาออกมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดเหล็กคาร์บอนสูงจากจีนถาวรนั้น ซึ่งเดิมคาดว่าจะออกมาตรการดังกล่าวได้ในช่วง ม.ค.นี้ แต่เมื่อกระทรวงพาณิชย์ถูกปิดจากกลุ่มผู้ชุมนุม ทำให้ต้องเลื่อนออกไป และต้องมีการประชุมทางด้านเทคนิคคอลอีกครั้ง หลังจากลูกค้าบริษัทและผู้ผลิตเสาเข็มร้องเรียนพาณิชย์ว่าเหล็กลวดของทาทา สตีลมีคุณภาพไม่ดี คาดว่าในเดือน มี.ค.นี้ กระทรวงพาณิชย์น่าจะออกมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดเหล็กลวดคาร์บอนสูงจากจีนได้

ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีการชี้แจงว่าคุณภาพเหล็กลวดได้รับมาตรฐานสินค้าอุตสาหกรรม (มอก.) จากกระทรวงอุตสาหกรรม และที่ผ่านมาไม่เคยมีอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เหล็กทาทา สตีลมีปัญหาใดๆ แต่การคัดค้านการออกมาตรการADเหล็กลวดคาร์บอนสูงจากจีน เนื่องจากผู้ผลิตลวดเหล็กและเสาเข็มจะสูญเสียรายได้จากการซื้อเหล็กลวดจากจีนที่ดัมป์เข้ามาในราคาถูกถึงตันละ 3 พันบาท เพราะได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาลจีน 9% และเลี่ยงการเสียภาษีนำเข้าโดยผสมโบรอน ทำให้ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าจากไทย 5%

ปัจจุบัน บริษัทฯ เป็นผู้ผลิตเหล็กลวดคาร์บอนสูงเพียงรายเดียวของประเทศ ซึ่งเดิมเคยมีกำลังการผลิตเดือนละ 1-1.2 หมื่นตัน แต่ปัจจุบันผลิตเพียง 3-4 พันตัน/เดือนเท่านั้น ซึ่งราคาขายก็แทบไม่มีกำไร และยังขายได้ยาก เนื่องจากจีนเข้ามาดัมป์ตลาด แม้แต่ช่วงที่มีการออก AD ชั่วคราว ก็ยังมีเหล็กลวดคาร์บอนสูงจากจีนนำเข้ามาจำหน่ายในไทยเหมือนเดิม และหากกระทรวงพาณิขย์ไม่เร่งออกมาตรการ AD สุดท้ายบริษัทฯก็คงต้องเลิกผลิตไป เท่ากับว่าไทยต้องนำเข้าเหล็กลวดคาร์บอนสูงถึงปีละ 3 แสนตัน

“ก่อนหน้านี้ กระทรวงพาณิชย์เสนอเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดเหล็กลวดคาร์บอนสูงจากจีนเพียง 12% และยกเว้นบางสินค้าในเหล็กลวดฯ ขนาด 11 มม.และ 13 มม.ซึ่งได้คัดค้านไป เนื่องจากเหล็กลวดฯขนาด 11 มม.มีการใช้สูงถึง 40% ของปริมาณการใช้ทั้งหมด ส่วน 13 มม. มีการใช้ 10% ดังนั้นหากยกเว้นให้กลุ่มสินค้าดังกล่าวเท่ากับมาตรการ AD ที่จะออกมา ไม่มีผลช่วยเหลือบริษัทเลย”

นายราจีฟกล่าวต่อไปว่า แนวโน้มความต้องการใช้เหล็กทรงยาวในปี 2557 คาดว่าจะเติบโตขึ้น 4-5% จากปีก่อน ซึ่งเติบโตสูงกว่าการขยายตัวจีดีพีของประเทศ 1.5 เท่า โดยประเมินว่าความวุ่นวายทางการเมืองในไทยจะทำให้โครงการเมกะโปรเจกต์ 2 ล้านล้านบาทต้องเลื่อนออกไป แต่ก็ยังมีบางโครงการของรัฐที่ยังต้องดำเนินการอยู่ และการก่อสร้างของภาคเอกชน ทำให้ความต้องการใช้เหล็กโตขึ้นเล็กน้อย ส่วนราคาเหล็กทรงยาวคงใกล้เคียงปีที่แล้ว อาจจะปรับขึ้นบ้างเล็กน้อยจากต้นทุนวัตถุดิบ คือเศษเหล็กที่ปรับขึ้น โดยล่าสุดเหล็กก่อสร้างราคาตันละ 20,000-20,500 บาท โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการขายเหล็กในงวดปี 2557-58 สูงกว่า 1.2 ล้านตัน

ผลดำเนินงาน 9 เดือน บริษัทฯ มียอดขาย 1.86 หมื่นล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 4.15 ล้านบาท โดยยอดขายในไตรมาส 3 (ต.ค.-ธ.ค. 56) อยู่ที่ 3 แสนตัน โดยเน้นการขายเพิ่มขึ้นไปในประเทศเพื่อนบ้าน และตลาดต่างจังหวัดภายในประเทศ ทำให้บริษัทยังสามารถแสดงผลกาไรทั้งก่อนและหลังภาษี
กำลังโหลดความคิดเห็น