xs
xsm
sm
md
lg

ทาทาสตีลลั่น Q2 ขาดทุนลดลง หลังรัฐเก็บเอดีเหล็กลวดฯ จีน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการรายวัน - “ทาทาสตีล” มั่นใจไตรมาส 2/56-57 มีผลขาดทุนลดลงจากไตรมาสก่อน เนื่องจากปริมาณและราคาขายเหล็กลวดคาร์บอนสูงเพิ่มขึ้น หลังรัฐออกมาตรการชั่วคราวตอบโต้การทุ่มตลาดเหล็กลวดคาร์บอนสูงจากจีน มั่นใจทั้งปีโตได้ 10% ตามเป้าหมาย เตรียมยื่นพาณิชย์ขอคุ้มครองชั่วคราวเหล็กลวดคาร์บอนต่ำจากจีนเพิ่ม

นายปิยุช กุปต้า กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (TSTH) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/2556-57 (1 ก.ค.-30 ก.ย. 56) ของบริษัทฯ จะมีผลขาดทุนลดลงจากไตรมาสก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 111 ล้านบาท เนื่องจากปริมาณการขายและราคาเหล็กลวดคาร์บอนสูงปรับเพิ่มสูงขึ้นหลังจากกระทรวงพาณิชย์ได้ประกาศมาตรการชั่วคราวตอบโต้การทุ่มตลาด (เอดี) เหล็กลวดคาร์บอนสูงจากจีนอัตรา 16.14-33.99% ตามที่บริษัทเรียกร้อง โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 8 ส.ค.นี้

ทำให้บริษัทฯ มั่นใจว่าเป้าหมายปริมาณการขายเหล็กเติบโต 10% จากปีก่อน สอดคล้องกับความต้องการใช้เหล็กในประเทศโตขึ้น 11% แม้ว่าตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ไทยจะปรับลดลงเหลือ 3.8-4.2% ก็ตาม เนื่องจากประเมินว่าความต้องการใช้เหล็กจะโตตามภาคการก่อสร้างและอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งปีนี้ทั้งสองอุตสาหกรรมยังเติบโตดีอยู่ โดยครึ่งปีแรกการบริโภคเหล็กในประเทศโต 19% และปริมาณเหล็กนำเข้าเพิ่มขึ้นถึง 29%

“ในงวดปี 2556/2557 บริษัทฯ มั่นใจว่าจะเพิ่มการผลิตเหล็กลวดคาร์บอนสูงได้เป็น 1.2 แสนตัน/ปี จากปัจจุบันที่ต้องลดการผลิตลงเหลือ 6-7 หมื่นตัน และหากรัฐออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวเหล็กลวดคาร์บอนต่ำจากจีนจะทำให้การผลิตเหล็กเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ผลิตอยู่ปีละ 2 แสนตัน จากเดิมเคยผลิตอยู่ 3 แสนตันก่อนจีนทุ่มตลาดเหล็กลวด”

นอกจากนี้ บริษัทฯ เตรียมทำหนังสือยื่นกระทรวงพาณิชย์เพื่อขอให้ออกมาตรการชั่วคราวตอบโต้การทุ่มตลาดเหล็กลวดคาร์บอนต่ำจากจีนในเดือนกันยายนนี้ หลังจากที่ผ่านมา บริษัทฯ ประสบปัญหาการขาดทุนจากการทุ่มตลาดจากจีนโดยส่งออกเหล็กกล้าเจือโบรอนเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีนำเข้า 5% และได้รับการอุดหนุนการส่งออกจากรัฐบาลจีนอีก 9% ทำให้มีต้นทุนต่ำกว่าไทยแล้ว 14% เช่นเดียวกับเหล็กลวดคาร์บอนสูง

นายปิยุชกล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวการประกาศมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดเหล็กลวดคาร์บอนสูงจากจีนจะทำให้ราคาเหล็กปรับขึ้นไปตันละ 6,000 บาท เนื่องจากบางเกรดสินค้าผลิตไม่ได้ ทำให้ต้องมีการนำเข้าเพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้บริโภคนั้น ขอยืนยันว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมก่อสร้างทั้งโครงการโครงสร้างพื้นฐาน 2.2 ล้านล้านบาท และการก่อสร้างภาคเอกชน เพราะช่วงก่อนที่จีนจะทุ่มตลาด มี.ค. 2555 ราคาเหล็กลวดคาร์บอนสูงอยู่ที่ 2.2 หมื่นบาท/ตัน และราคาเหล็กลวดเหล็กแรงดึงสูง (PC Wire) 3.17 หมื่นบาท/ตัน โดยมีส่วนต่างราคาทั้งสองผลิตภัณฑ์อยู่ที่ 9 พันบาท/ตัน แต่หลังจากจีนเข้ามาดัมป์ราคาเหล็กลวดจีนขายอยู่ที่ 1.84 หมื่นบาท/ตัน และราคา PC Wire อยู่ที่ 3.08 หมื่นบาท ส่วนต่างราคาสองผลิตภัณฑ์อยู่ที่ 1.25 หมื่นบาท/ตัน ซึ่งผู้ประกอบการ PC Wire ได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นมาตลอดกว่า 1 ปี

ดังนั้น เมื่อรัฐมีการออกมาตรการชั่วคราวตอบโต้การทุ่มตลาดเหล็กลวดคาร์บอนสูงจากจีนจะทำให้ทุกอย่างกลับไปสู่ภาวะตลาดปกติ ส่วนเหล็กลวดเกรดที่บริษัทผลิตไม่ได้ก็สามารถนำเข้ามาได้ตามปกติโดยเสียภาษีนำเข้า 5% ดังนั้นถือเป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับธุรกิจเหล็กภายในประเทศที่จะมีการพัฒนาอย่างมั่นคง อันจะทำให้บริษัทมีผลประกอบการแข็งแกร่งขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้

หากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2.2 ล้านล้านบาทเดินหน้าได้ ก็จะทำให้ความต้องการใช้เหล็กเส้นเพิ่มขึ้นอีก 6-7 ล้านตันใน 6-7 ปี จากเดิมที่ความต้องการใช้เหล็กเส้นในประเทศปีละ 2.5 ล้านตัน
กำลังโหลดความคิดเห็น