“ทาทา สตีลฯ” ไตรมาส 3 ฟื้นกำไร หลังงวดนี้ปีก่อนหน้าขาดทุนกว่า 488 ล้านบาท ผลดีจากการบริหารที่เน้นควบคุมต้นทุน และปรับสัดส่วนการขายใหม่ ด้วยการเน้นขายเพิ่มขึ้นในประเทศเพื่อนบ้าน และตลาดต่างจังหวัดภายในประเทศ
นายราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TSTH แจ้งผลงานไตรมาส 3 ปี 56 สิ้นสุด 31 ธันวาคม 56 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 3.58 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 3 ปี 55 บริษัทขาดทุนสุทธิ 488.18 ล้านบาท ซึ่งบริษัทยังคงมียอด EBITDA กำไรก่อนหักภาษีและหลังหักภาษีเป็นบวก ทั้งระหว่างไตรมาส และสะสมถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ยังคงต่ำกว่าเป้าหมายเนื่องจากสถานการณ์การเมืองที่ไม่แน่นอนแรงกดดันจากผลต่างราคาขาย และราคาวัตถุดิบ (แรงกดดันอย่างต่อเนื่องจากราคาขายลวดเหล็กที่ต้องแข่งกับการนำเข้าจากจีน และราคาเศษเหล็กที่สูงขึ้น) และผลกระทบด้านต้นทุนขายจากการถือสินค้าคงคลัง
โดยในไตรมาส 3 ของปี 2556 ภายใต้สถานการณ์การเมืองที่ไม่แน่นอน ส่งผลทางลบต่อการดำเนินธุรกิจ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในปี 2556 คาดว่าจะเติบโตราว 2.8-3% ลูกค้าปรับตัวในการดำเนินธุรกิจโดยระมัดระวังในการสั่งซื้อสินค้ามากขึ้น ถึงแม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย จะปรับอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในเดือนพฤศจิกายน เพื่อกระตุ้นเงินเข้ามาในระบบเศรษฐกิจ ภายใต้สภาพแวดล้อมของการดำเนินธุรกิจที่ไม่แน่นอน บริษัทดำเนินการเชิงรุกเพื่อลดผลกระทบทางลบที่เกิดขึ้นโดยเน้นในเรื่องต้นทุน และการจ่ายสินค้ายอดขายในไตรมาส 3 (ตุลาคม-ธันวาคม 2556) อยู่ที่บวก 300,000 ตัน โดยเน้นการขายเพิ่มขึ้นไปในประเทศเพื่อนบ้าน และตลาดต่างจังหวัดภายในประเทศ ช่วยทำให้บริษัทยังสามารถแสดงผลกำไรทั้งก่อนและหลังภาษี
อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบยอดขายไตรมาส 3 รอบปีบัญชี 2557 (ตุลาคม-ธันวาคม 2556) บริษัทมียอดขาย 6,001 ล้านบาท จากปริมาณการขาย 304,000 ตัน ยอดขายลดลง 10% เทียบกับไตรมาส 2 ของรอบปีบัญชี 2557 (กรกฎาคม-กันยายน 2556) เนื่องจากความต้องการบริโภคเหล็กที่ลดลง โดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังของไตรมาส 3 รอบปีบัญชี 2557 (ตุลาคม-ธันวาคม 2556) ที่มีวันหยุดในช่วงปลายปี และประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอนที่ทำให้ผู้ซื้อระมัดระวังในการซื้อมากขึ้น บริษัทเน้นการขายไปยังประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้นเพื่อลดผลกระทบยอดขายในประเทศที่ลดลง มาตรการชั่วคราวที่ช่วยเรื่องการทุ่มตลาดในสินค้าเหล็กลวดคาร์บอนสูง สิ้นสุดไปเมื่อ 7 ธันวาคม 2556
อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์คาดว่าจะสรุปการไต่สวนการทุ่มตลาดชั้นที่สุด และประกาศมาตรการถาวรได้ภายในมกราคม 2557 ยอดขายยังคงมีสูงในสินค้าเหล็กเส้น “ตราทาทาทิสคอน” ที่ใช้ในงานก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยทำให้ยอดขายใน 9 เดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 18,621 ล้านบาท จากปริมาณการขาย 958,000 ตัน ซึ่งสูงกว่า 9 เดือนของรอบปีบัญชีก่อน 11%
“การบริหารที่เน้นการควบคุมต้นทุน และการปรับสัดส่วนการขายใหม่ ทำให้บริษัทมียอดกำไรสุทธิก่อนหักภาษีในไตรมาส 3 รอบปีบัญชี 2557 (ตุลาคม-ธันวาคม 2556) 14 ล้านบาท และสะสม 9 เดือน อยู่ที่ 47 ล้านบาท และมียอด EBITDA ที่ 235 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนที่มียอด 123ล้านบาท”
ทั้งนี้ ยอดกำไรสุทธิก่อนหักภาษี และ EBITDA ต่ำกว่าไตรมาส 2 ของรอบปีบัญชี 2557 (กรกฎาคม-กันยายน 2556) เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอนแรงกดดันจากผลต่างราคาขาย และราคาวัตถุดิบ (แรงกดดันอย่างต่อเนื่องจากราคาขายลวดเหล็กที่ต้องแข่งกับการนำเข้าจากจีน และราคาเศษเหล็กที่สูงขึ้น) และผลกระทบด้านต้นทุนขายจากการถือสินค้าคงคลัง
นายราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TSTH แจ้งผลงานไตรมาส 3 ปี 56 สิ้นสุด 31 ธันวาคม 56 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 3.58 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 3 ปี 55 บริษัทขาดทุนสุทธิ 488.18 ล้านบาท ซึ่งบริษัทยังคงมียอด EBITDA กำไรก่อนหักภาษีและหลังหักภาษีเป็นบวก ทั้งระหว่างไตรมาส และสะสมถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ยังคงต่ำกว่าเป้าหมายเนื่องจากสถานการณ์การเมืองที่ไม่แน่นอนแรงกดดันจากผลต่างราคาขาย และราคาวัตถุดิบ (แรงกดดันอย่างต่อเนื่องจากราคาขายลวดเหล็กที่ต้องแข่งกับการนำเข้าจากจีน และราคาเศษเหล็กที่สูงขึ้น) และผลกระทบด้านต้นทุนขายจากการถือสินค้าคงคลัง
โดยในไตรมาส 3 ของปี 2556 ภายใต้สถานการณ์การเมืองที่ไม่แน่นอน ส่งผลทางลบต่อการดำเนินธุรกิจ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในปี 2556 คาดว่าจะเติบโตราว 2.8-3% ลูกค้าปรับตัวในการดำเนินธุรกิจโดยระมัดระวังในการสั่งซื้อสินค้ามากขึ้น ถึงแม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย จะปรับอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในเดือนพฤศจิกายน เพื่อกระตุ้นเงินเข้ามาในระบบเศรษฐกิจ ภายใต้สภาพแวดล้อมของการดำเนินธุรกิจที่ไม่แน่นอน บริษัทดำเนินการเชิงรุกเพื่อลดผลกระทบทางลบที่เกิดขึ้นโดยเน้นในเรื่องต้นทุน และการจ่ายสินค้ายอดขายในไตรมาส 3 (ตุลาคม-ธันวาคม 2556) อยู่ที่บวก 300,000 ตัน โดยเน้นการขายเพิ่มขึ้นไปในประเทศเพื่อนบ้าน และตลาดต่างจังหวัดภายในประเทศ ช่วยทำให้บริษัทยังสามารถแสดงผลกำไรทั้งก่อนและหลังภาษี
อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบยอดขายไตรมาส 3 รอบปีบัญชี 2557 (ตุลาคม-ธันวาคม 2556) บริษัทมียอดขาย 6,001 ล้านบาท จากปริมาณการขาย 304,000 ตัน ยอดขายลดลง 10% เทียบกับไตรมาส 2 ของรอบปีบัญชี 2557 (กรกฎาคม-กันยายน 2556) เนื่องจากความต้องการบริโภคเหล็กที่ลดลง โดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังของไตรมาส 3 รอบปีบัญชี 2557 (ตุลาคม-ธันวาคม 2556) ที่มีวันหยุดในช่วงปลายปี และประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอนที่ทำให้ผู้ซื้อระมัดระวังในการซื้อมากขึ้น บริษัทเน้นการขายไปยังประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้นเพื่อลดผลกระทบยอดขายในประเทศที่ลดลง มาตรการชั่วคราวที่ช่วยเรื่องการทุ่มตลาดในสินค้าเหล็กลวดคาร์บอนสูง สิ้นสุดไปเมื่อ 7 ธันวาคม 2556
อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์คาดว่าจะสรุปการไต่สวนการทุ่มตลาดชั้นที่สุด และประกาศมาตรการถาวรได้ภายในมกราคม 2557 ยอดขายยังคงมีสูงในสินค้าเหล็กเส้น “ตราทาทาทิสคอน” ที่ใช้ในงานก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยทำให้ยอดขายใน 9 เดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 18,621 ล้านบาท จากปริมาณการขาย 958,000 ตัน ซึ่งสูงกว่า 9 เดือนของรอบปีบัญชีก่อน 11%
“การบริหารที่เน้นการควบคุมต้นทุน และการปรับสัดส่วนการขายใหม่ ทำให้บริษัทมียอดกำไรสุทธิก่อนหักภาษีในไตรมาส 3 รอบปีบัญชี 2557 (ตุลาคม-ธันวาคม 2556) 14 ล้านบาท และสะสม 9 เดือน อยู่ที่ 47 ล้านบาท และมียอด EBITDA ที่ 235 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนที่มียอด 123ล้านบาท”
ทั้งนี้ ยอดกำไรสุทธิก่อนหักภาษี และ EBITDA ต่ำกว่าไตรมาส 2 ของรอบปีบัญชี 2557 (กรกฎาคม-กันยายน 2556) เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอนแรงกดดันจากผลต่างราคาขาย และราคาวัตถุดิบ (แรงกดดันอย่างต่อเนื่องจากราคาขายลวดเหล็กที่ต้องแข่งกับการนำเข้าจากจีน และราคาเศษเหล็กที่สูงขึ้น) และผลกระทบด้านต้นทุนขายจากการถือสินค้าคงคลัง