xs
xsm
sm
md
lg

การเมืองป่วน! ลูกค้าใหม่หายเกลี้ยง “นวนคร” แตะเบรกผุดนิคมฯ แห่งที่ 3

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“นวนคร” เลื่อนผุดนิคมฯ แห่งที่ 3 หลังเจอพิษการเมืองป่วนทำลูกค้าใหม่ต่างชาติหายเกลี้ยง ส่งผลให้ปีนี้บริษัทน่าจะมีรายได้และกำไรลดลงจากปีก่อน ชี้ปีนี้หันมาเน้นขยายพื้นที่นิคมฯ ที่โคราชแทน เผยอยู่ระหว่างเจรจาซื้อที่ข้างเคียง คาดได้ข้อสรุป 6 เดือน จวกนโยบาย “ปู” ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำและปรับสิทธิประโยชน์บีโอไอทำให้เสน่ห์การลงทุนไทยในสายตาญี่ปุ่นวูบอยู่อันดับ 4 ในอาเซียนจากเดิมรั้งอันดับ 1

นายนิพิฐ อรุณวงษ์ ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท นวนคร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯ เน้นการขยายพื้นที่นิคมนวนคร นครราชสีมาเพิ่มจากปัจจุบันที่มีพื้นที่ 2 พันไร่ โดยอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อพื้นที่ใกล้เคียง 700-800 ไร่ คาดว่าจะได้ข้อสรุปใน 5-6 เดือนนี้

ทั้งนี้ นิคมฯ นวนคร นครราชสีมามีพื้นที่รวม 2 พันไร่ ซึ่งได้มีการขายไปแล้ว 50-60% โดยเฟส 3 นี้ได้พัฒนาที่ดินเพื่อขายอีก 500 ไร่ ซึ่งมีลูกค้าเดิมหลายรายสนใจซื้อแล้ว คาดว่าปีนี้จะขายที่ดินได้ 200 ไร่ สำหรับนิคมนวนครที่ปทุมธานีคาดว่าจะขายได้ 120 ไร่

นายนิพิฐกล่าวถึงความคืบหน้าการพัฒนานิคมฯ แห่งที่ 3 ในจังหวัดชลบุรีหรือฉะเชิงเทราว่า คงต้องเลื่อนการตัดสินใจเลือกพื้นที่การพัฒนานิคมฯ แห่งที่ 3 ออกไปก่อนเป็นปีหน้าแทน เนื่องจากสถานการณ์การเมืองในประเทศที่ไม่เอื้อต่อการลงทุน เนื่องจากขณะนี้ลูกค้าใหม่ได้ชะลอการซื้อที่ดินในนิคมฯ ไป บางรายก็ตัดสินใจลงทุนในประเทศเพื่้อนบ้านอย่าง อินโดนีเซีย และเวียดนามแทน เนื่องจากการเมืองในประเทศมีความมั่นคงกว่าไทย

นอกจากนี้ไทยขาดเสน่ห์ดึงดูดการลงทุน ในสายตานักลงทุนญี่ปุ่นพบว่าไทยอยู่ในอันดับ 4 ในอาเซียน รองจากอินโดนีเซีย เวียดนาม และเมียนมาร์แล้ว จากปีที่แล้วญี่ปุ่นยังให้ความสำคัญในการลงทุนในอาเซียนโดยเลือกไทยเป็นอันดับแรกอยู่เลย สาเหตุสำคัญมาจากนโยบายรัฐในการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาททำให้ค่าแรงไทยสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน และการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขสิทธิประโยชน์การลงทุนใหม่ของบีโอไอ ซึ่งไม่ส่งเสริมการลงทุนเท่าควร

“ขณะนี้พบว่ามีแต่ปัญหามากกว่าส่งเสริมการลงทุน โดยเฉพาะนโยบายบีโอไอใหม่ไม่ได้ส่งเสริมการขายเลย ทั้งๆ ที่นิคมฯ มีส่วนสำคัญในการดึงเงินตราต่างประเทศเข้ามาลงทุนในไทย และมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น”

นายนิพิฐกล่าวต่อไปว่า ในปีนี้บริษัทฯ คาดว่ารายได้จากการขายที่ดินและกำไรสุทธิจะต่ำกว่าปีก่อน เนื่องจากปัญหาการเมืองภายในประเทศทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุน ทำให้ไตรมาสแรกปีนี้ยอดขายที่ดินในนิคมฯ ลดลงมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยลูกค้าที่ซื้อที่ในนิคมฯ นั้นเป็นลูกค้าเดิมที่ขยายกำลังการผลิต ส่วนลูกค้าใหม่แทบไม่มีเลย เชื่อว่าไตรมาส 3 ยอดขายที่นิคมฯ จะดีขึ้นหากการเมืองไทยมั่นคงขึ้น

ส่วนงบเงินลงทุนบริษัทฯ ในช่วง 2-3 ปีนี้อยู่ที่ 500-600 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าเอสพีพี กำลังผลิต 120 เมกะวัตต์ ที่นวนคร ปทุมธานี คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2559 ซึ่งจะเป็นปีที่มีรายได้และกำไรของบริษัทฯ โดดเด่นอีกครั้ง นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีที่ดินพร้อมที่จะขยายโรงไฟฟ้าเอสพีพีเพิ่มขึ้นอีก 1 โรง หากรัฐมีนโยบายรับซื้อไฟฟ้าเอสพีพีเพิ่มเติม

“การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้จีดีพีจะโตขึ้น 2-3% จากปีก่อน เนื่องจากการส่งออกได้รับอานิสงส์จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงทำให้ส่งออกได้เพิ่มขึ้น แต่กำลังซื้อภายในประเทศกลับแย่ลง และการท่องเที่ยวจากต่างประเทศก็หดหายไป”

สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปีนี้บริษัทมีรายได้รวม 1.22 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดปี 2555 ที่มีรายได้ 1.15 พันล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 422 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดปี 2555 ที่มีกำไรสุทธิ 222 ล้านบาท
กำลังโหลดความคิดเห็น