ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ (4 ก.พ.) ปิดที่ระดับ 1,276.84 จุด ปรับตัวลดลง 15.97 จุด หรือ -1.24% มูลค่าการซื้อขายเบาบางเพียง 24,948.21 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 1,283.18 จุด และลดลงต่ำสุดที่ 1,273.94 จุด ภาพรวมดัชนีหลักทรัพย์ยังคงทรงตัวอยู่ในแนวลบตลอดทั้งวัน จากการประกาศตัวเลขการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ไม่เป็นตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ ในขณะที่ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศ หลังการเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก็ยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ โดยนักลงทุนรายย่อยซื้อสะสมสูงสุดกว่า 3,319.815 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างประเทศเทขายหุ้นไทยออกไปกว่า 4,888.25 ล้านบาท
หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น จำนวน 217 หลักทรัพย์ ลดลง 485 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 178 หลักทรัพย์
การซื้อขายสุทธิแยกตามกลุ่มนักลงทุนพบว่า นักลงทุนทั่วไป ซื้อสุทธิ 3,319.81 ล้านบาท สถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิ 1,381.56 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักหลักทรัพย์ (บล.) ซื้อสุทธิ 186.88 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ -4,888.25 ล้านบาท
ทั้งนี้ หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับหลักทรัพย์ คือ
JAS ปิดที่ 7.15 บาท ลดลง -0.15 หรือ -2.05% มูลค่าการซื้อขาย 2,318,951 ล้านบาท
KBANK ปิดที่ 166.00 บาท ลดลง -4.50 บาท หรือ -2.64% มูลค่าการซื้อขาย 1,530,253 ล้านบาท
ADVANC ปิดที่ 211.00 บาท ลดลง -4.00 บาท หรือ -1.86% มูลค่าการซื้อขาย 1,498,371 ล้านบาท
SCB ปิดที่ 146.00 บาท ลดลง -4.00 บาท หรือ -2.67% มูลค่าการซื้อขาย 1,111,330 ล้านบาท
PTTGC ปิดที่ 71.25 บาท ลดลง -2.25 หรือ -3.06% มูลค่าการซื้อขาย 1,033,496 ล้านบาท
นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ธนชาต กล่าวว่า การปรับลดลงของ SET INDEX ในภาคเช้าส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในระยะสั้น ส่งผลทำให้ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มเคลื่อนไหวออกด้านข้าง สร้างฐานแกว่งตัวในกรอบ 1,260-1,290 จุด
อย่างไรก็ดี โดยมองแนวรับที่ 1,260-1,270 จุด เป็นจุดซื้อคืนด้วยปัจจัยสนับสนุนจากประเด็นการเมืองถึงแม้ว่าจะยังไร้ข้อสรุป แต่อย่างน้อยสถานการณ์ยังคงไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น ในขณะที่รอความคืบหน้าการสืบสวนของ ป.ป.ช.กรณีจำนำข้าวภายใน ก.พ.-มี.ค.นี้ อย่างไรก็ดี คาดว่าจะมีนักลงทุนกลับเข้ามาเก็งกำไรหุ้นกลุ่มที่ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง อย่างกลุ่มสื่อสาร เช่น ADVANC, INTUCH, DTAC, JAS รวมไปถึงกลุ่มหุ้นที่คาดการณ์การกำไรเติบโตสูงในปีนี้ เช่น CPF, TUF, EA, CPALL และ THCOM ซึ่งอยู่ในช่วงการพักฐานของ SET INDEX
ทั้งนี้ แนวโน้มตลาดหุ้นที่สำคัญในต่างประเทศมีโอกาสที่จะเห็นการดีดกลับขึ้นมาของตลาดหุ้นหลักๆ ที่สำคัญคือ Dow Jones, Nikkei, Hang Seng โดยประเมินแนวรับตลาดหุ้นไทยที่ 1,265- 1,255 จุดและแนวต้านที่ 1,288-1,295 จุด
ในขณะที่นักวิเคราะห์จาก บล.ฟิลิป กล่าวว่า จากที่ดัชนี SET INDEX ในช่วงบ่ายยังผันผวนในแดนลบ และตลาดหุ้นยังคงไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามา ซึ่งประเด็นหลักที่ยังคงอยู่มาจากปัจจัยปัญหาการเมืองภายในประเทศ และปัจจัยภายนอกประเทศจากข้อมูลการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ ซึ่งยังคงกดดันให้นักลงทุนต่างชาติคงการขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยออกไปอย่างต่อเนื่อง และปัญหาการการชุมนุมทางการเมืองของไทยหลังการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ยังดําเนินต่อไป โดยสิ่งที่นักลงทุนอาจจะต้องติดตามในประเด็นที่สำคัญคือ การยื่นเรื่องต่อการเลือกตั้งเป็นโมฆะ ซึ่งทางพรรคประชาธิปัตย์ ได้ตั้งประเด็นสำคัญไว้ 3 กรณี คือ 1.การเลือกตั้งต้องทําภายในวันเดียว 2.การเลือกตั้งไม่สามารถเปิดสภาได้ เนื่องจากมี ส.ส.ไม่ครบ 95% และ 3.การเลือกตั้งล่วงหน้าไม่เสร็จเรียบร้อย ซึ่งหากความยืดเยื้อในการจัดตั้งรัฐบาลยาวนานออกไปจะส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจด้วย ทั้งนี้ ประเมินกรอบแนวรับที่ 1,265 จุด และกรอบแนวต้านที่ 1,290 จุด