ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ (20 ม.ค.) ปิดที่ระดับ 1,289.99 จุด ปรับตัวลดลง -5.42 จุด หรือ -0.42% มูลค่าการซื้อขายเบาบางเพียง 19,062.46 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 1,297.93 จุด และลดลงต่ำสุดที่ 1,287.84 จุด
ภาพรวมดัชนีหลักทรัพย์ยังคงทรงตัวอยู่ในแนวลบสลับขึ้นมาบวกบ้างเล็กน้อย โดยนักลงทุนรายย่อยซื้อสะสมสูงสุดกว่า 999.75 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างประเทศเทขายหุ้นไทยออกไปกว่า 1,526.60 ล้านบาท จากความกังวลของสถานการณ์การเมืองภายในประเทศที่ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น จำนวน 246 หลักทรัพย์ ลดลง 421 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 199 หลักทรัพย์
การซื้อขายสุทธิแยกตามกลุ่มนักลงทุนพบว่า นักลงทุนทั่วไป ซื้อสุทธิ 999.75 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักหลักทรัพย์ (บล.) ซื้อสุทธิ 720.75 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ-1,526.60 ล้านบาท และสถาบันในประเทศ ขายสุทธิ -193.90 ล้านบาท
ทั้งนี้ หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับหลักทรัพย์ คือ
ADVANC ปิดที่ 210.00 บาท ลดลง -4.00 บาท หรือ -1.87% มูลค่าการซื้อขาย 1,479,213 ล้านบาท
KBANK ปิดที่ 165.50 บาท ลดลง -2.50 บาท หรือ -1.49% มูลค่าการซื้อขาย 1,309,916 ล้านบาท
BBL ปิดที่ 175.50 บาทลดลง -3.50 บาท หรือ -1.96% มูลค่าการซื้อขาย 1,264,206 ล้านบาท
JAS ปิดที่ 7.20 บาท ลดลง -0.10 หรือ -1.37 มูลค่าการซื้อขาย 1,076,938 ล้านบาท
PTTGC ปิดที่ 73.25 บาท ลดลง -1.00 หรือ -1.35% มูลค่าการซื้อขาย 897,316 ล้านบาท
นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยวันนี้อยู่ในแดนลบตลอดทั้งวัน เนื่องจากนักลงทุนยังคงมีความกังวลด้านสถานการณ์ความรุนแรงทางการเมืองในประเทศ ที่เกิดเหตุปะทะกันบ่อยครั้งมากขึ้น ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติเริ่มไม่มีความมั่นใจในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เนื่องจากการขาดเสถียรภาพ โดยจะมุ่งเน้นไปยังตลาดเกิดใหม่ที่มีปัจจัยความเสี่ยงน้อยกว่า และมีผลตอบแทนที่สูงกว่า
อย่างไรก็ดีแนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (21 ม.ค.) คาดว่าตลาดฯ คงจะยังคงแกว่งตัวอยู่ในแนวลบต่อเนื่องไปอีกจากวันนี้ โดยดัชนี SET INDEX อาจจะเคลื่อนไหวในกรอบ และยังต้องติดตามสถานการณ์ทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง โดยมีแนวรับที่ประมาณ 1,280-1,287 จุด และแนวต้านที่ประมาณ 1,298-1,306 จุด ประเด็นที่สำคัญยังต้องจับตาสถานการณ์การเมืองภายในประเทศ และการประกาศผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ของหุ้นกลุ่มธนาคาร