xs
xsm
sm
md
lg

อินเดียจ่อขอปลดทองออกจาก FTA หลังสินค้าไทยบูมสุดๆ เผยนำร่องขึ้นภาษีตั้งป้อมสกัดแล้ว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อินเดียขอทบทวนความตกลง FTA กับไทย หลังยอดนำเข้าพุ่งทำขาดดุลการค้า นำร่องขึ้นภาษีเบรกนำเข้าทองคำ เหตุสินค้าไทยได้รับความนิยมสูง เป็นที่ต้องการของตลาด แนะผู้ส่งออกปฏิบัติตามกฎถิ่นกำเนิดสินค้าป้องกันการสวมสิทธิ จนถูกใช้เป็นข้ออ้างขอปลดออกจากบัญชีลดภาษีในอนาคต

นายสมเกียรติ ตรีรัตนพันธ์ รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ขณะนี้หน่วยข่าวกรองด้านสรรพากรของอินเดีย (The Directorate of Revenue Intelligence: DRI) ซึ่งอยู่ภายใต้กระทรวงการคลังของอินเดีย มีหน้าที่ตรวจสอบการลักลอบสินค้าผิดกฎหมาย เช่น ยาเสพติด ทองคำ เพชร อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ธนบัตรปลอม และอื่นๆ มีความต้องการทบทวนความตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่อินเดียได้ทำกับประเทศต่างๆ รวมถึงไทย โดยจะเสนอให้เพิ่มอำนาจหน่วยงานจัดเก็บภาษีให้สามารถระงับการค้าโดยอัตโนมัติ หากตรวจพบว่าการใช้ความตกลง FTA ผิดวัตถุประสงค์จากการสวมสิทธิถิ่นกำเนิดสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าเครื่องประดับทองคำที่ส่งผลให้อินเดียขาดดุลการค้าเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ ในการทำ FTA ไทย-อินเดีย การค้าระหว่างกันได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2555 ไทยมีการส่งออกไปยังอินเดียประมาณ 5.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ นำเข้า 3.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยอินเดียเป็นฝ่ายขาดดุลการค้ากับไทย ซึ่งทำให้อินเดียมีความพยายามที่จะขอทบทวนข้อตกลง FTA มาโดยตลอด และที่ผ่านมาได้เริ่มเข้างวดในการนำเข้าสินค้าบางรายการแล้ว เช่น ทองคำ เพราะอินเดียเก็บภาษีนำเข้าจากไทยเพียง 1.01% แต่เก็บจากประเทศอื่น 15% ทำให้เป็นช่องทางให้ผู้ประกอบการบางรายใช้สิทธิ FTA ไทย-อินเดีย เพื่อหลีกเลี่ยงการชำระอากร

“ชาวอินเดียนิยมเครื่องประดับทองรูปพรรณของไทย เพราะมีความบริสุทธิ์ของเนื้อทองสูงถึง 96.5% ซึ่งตรงตามรสนิยม และสินค้าไทยมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับในระดับสากล จึงส่งผลให้สินค้าไทยเป็นที่นิยมมาก ประกอบกับชาวอินเดียนิยมซื้อทองคำมากกว่าการฝากเงินในธนาคาร และภาษีนำเข้าที่ถูกกว่าประเทศอื่นๆ การนำเข้าจากไทยจึงเพิ่มขึ้นมาก”

นายสมเกียรติกล่าวว่า อินเดียได้แก้ปัญหาโดยระงับการนำเข้าสินค้าทองคำจากไทยตั้งแต่เดือน ก.พ.ปีที่แล้ว โดยอ้างว่าหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าของไทยไม่ชัดเจน และอินเดียมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการสวมสิทธิถิ่นกำเนิดจากไทย ซึ่งตามปกติสินค้าทองคำที่จะขอรับสิทธิพิเศษได้จะต้องมีการผลิตหรือสร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศไทย 20% ของมูลค่าสินค้า แต่อินเดียได้กักสินค้าไทยไว้ที่ด่านและเรียกเก็บอากรในอัตราปกติที่ 15% และไม่ได้มีการหารือกับไทยเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ภายใต้ความตกลง FTA กำหนดให้ต้องมีการหารือกันเพื่อแก้ปัญหา

ผลจากการตรวจสอบการนำเข้าอย่างเข้มงวด ทำให้ในช่วงปี 2556 ไทยส่งออกเครื่องประดับทองคำไปอินเดียได้มูลค่า 9.37 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจาก 123.95 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2555 และทองรูปพรรณ 1.48 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจาก 52.73 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2555 ซึ่งเป็นการส่งออกที่ลดลงถึง 90%

“ที่ผ่านมาอินเดียยังได้ปรับเพิ่มอากรในสินค้าดังกล่าวหลายครั้ง และปัจจุบันอินเดียได้เรียกเก็บอากรของสินค้าเครื่องประดับทองคำจากไทยในอัตรา 15% และสินค้าทองคำ เช่น ทองคำแท่ง เหรียญทอง ทองที่ยังไม่ได้ขึ้นรูป โดยเรียกเก็บในอัตรา 10%”

นอกจากนี้ อินเดียยังได้เข้มงวดการนำเข้าทองคำจากประเทศต่างๆ โดยมีมาตรการลดการนำเข้า โดยกำหนดให้การนำเข้ามายังอินเดียผู้นำเข้าจะต้องส่งออก 20% ของทองคำที่นำเข้า ทำให้ยอดนำเข้าทองคำจากประเทศต่างๆ ลดลงถึง 88.45% ทั้งจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฮ่องกง และไทย

นายสมเกียรติกล่าวว่า แนวทางในการรักษาตลาดทองคำของไทยในอินเดีย ผู้ผลิตและผู้ส่งออกทองของไทยควรที่จะปฏิบัติตามกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้าภายใต้ FTA ไทย-อินเดีย อย่างเคร่งครัด เพื่อมิให้อินเดียอ้างได้ว่าต้องทำการทบทวน FTA กับไทย เนื่องจากมีการสวมสิทธิแหล่งกำเนิดสินค้าทองคำของไทย

สำหรับ FTA ไทย-อินเดีย ได้เริ่มลดภาษีสินค้าระหว่างกันจำนวน 82 รายการ ตั้งแต่ 1 ก.ย. 2547 และทยอยลดภาษีจนเหลือ 0% ภายในวันที่ 1 ก.ย. 2549 ต่อมาปี 2555 ได้เพิ่มสินค้าอีก 1 รายการ คือ ตู้เย็น 2 ประตู โดยก่อนลดภาษีไทยขาดดุลการค้ากับอินเดียมาโดยตลอด แต่ภายหลังลดภาษีการส่งออกของไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และเริ่มได้ดุลการค้าตั้งแต่ปี 2548 จนปัจจุบันได้ดุลการค้ากว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ
กำลังโหลดความคิดเห็น