ปตท.เข็น “GPSC” เข้าตลาดหุ้นตามกำหนดกลางปีนี้ ยันไม่ได้รับผลกระทบจากความวุ่นวายทางการเมือง เผยขณะนี้อยู่ระหว่างการโอนธุรกิจไฟฟ้าในกลุ่ม ปตท.เข้าบริษัทให้แล้วเสร็จ พร้อมทั้งหาโอกาสการลงทุนธุรกิจไฟฟ้าใหม่ทั้งในและต่างประเทศเพิ่มเติม ลั่นชัดเจนในปีนี้
นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่การเงินองค์กร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองที่เกิดขึ้นเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อแผนการนำบริษัทย่อย คือ บริษัท โกลบอลเพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (GPSC)เข้าตลาดหุ้นในกลางปีนี้ ซึ่งขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ รวมทั้งมีการโอนธุรกิจไฟฟ้าในกลุ่ม ปตท.เข้ามาอยู่ใน GPSC ด้วย ทำให้มีกำลังการผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ 2 พันเมกะวัตต์
การตัดสินใจแยกธุรกิจไฟฟ้าออกมาตั้งเป็นบริษัท GPSC และมีแผนนำเข้าตลาดหุ้นนั้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการลงทุนธุรกิจไฟฟ้า รวมทั้งเปิดโอกาสให้บริษัทดังกล่าวระดมทุนเพื่อใช้ในการขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของธุรกิจด้วย
ปัจจุบัน GPSC อยู่ระหว่างหาโอกาสเข้าไปลงทุนธุรกิจไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศเพิ่มเติม โดยสนใจลงทุนทั้งโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซฯ เป็นเชื้อเพลิง โรงไฟฟ้าถ่านหิน โรงไฟฟ้าพลังน้ำ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และโรงไฟฟ้าไบโอแมส ซึ่งพบว่าในประเทศเพื่อนบ้านทั้งลาว เมียนมาร์ และอินโดนีเซีย ซึ่งประเทศเหล่านี้มีความต้องการใช้ไฟฟ้าเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นโอกาสที่ดีในการแสวงหาพันธมิตรเข้าไปลงทุน หรือการเข้าไปซื้อกิจการ เป็นต้น คาดว่าในปีนี้จะมีความชัดเจนโครงการลงทุนใหม่ๆ เพิ่มเติม
ส่วนแผนการนำ GPSC เข้าตลาดหุ้นนั้นจะเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) ประมาณ 25-30% ของทุนจดทะเบียน เพื่อนำเงินมาลงทุนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 6 พันเมกะวัตต์ในปี 2563 ทำให้โครงสร้างรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 5-10% ของรายได้รวมในอีก 6 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ บริษัท GPSC ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 10 ม.ค. 2556 โดยมี ปตท.ถือหุ้น 30.10% บมจ.พีทีที โกบอล เคมิคอล 30.31% บมจ.ไทยออยล์ 11.88% และไทยออยล์เพาเวอร์ 27.71% ซึ่งการผลักดันแยกธุรกิจไฟฟ้าออกมาเป็นบิสิเนสยูนิตนี้ ระยะสั้นเพื่อให้การดำเนินธุรกิจอยู่รอดท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เผชิญอยู่ อีกทั้ง ปตท.มีกลยุทธ์ในการผนึกพลังร่วมพร้อมกับการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของกลุ่ม ปตท. และจัดลำดับความสำคัญของการลงทุนในโครงการต่างๆ โดยการลงทุนในโครงการใหม่ๆ ต้องให้มีผลตอบแทนในระดับที่เหมาะสม แต่ในระยะยาว ปตท.ต้องการขยายการลงทุนในธุรกิจที่ดำเนินการอยู่และหาโอกาสใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้ธุรกิจมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและสร้างมูลค่าเพิ่มตลอดสายโซ่ธุรกิจ พร้อมกับการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้แก่ประเทศ