ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกแถลงการณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ซึ่งเสร็จสิ้นลงเมื่อคืนนี้ว่า ข้อมูลที่ได้รับนับตั้งแต่ที่คณะกรรมการ FOMC ประชุมกันในเดือนต.ค.บ่งชี้ว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีการขยายตัวในอัตราปานกลาง ปัจจัยชี้วัดบางประการเกี่ยวกับภาวะตลาดแรงงานได้แสดงถึงการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง อัตราว่างงานปรับตัวลดลง แต่ยังคงอยู่ในระดับสูง การใช้จ่ายในภาคครัวเรือนและการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรของภาคธุรกิจมีความคืบหน้า ขณะที่การฟื้นตัวในภาคที่อยู่อาศัยได้ชะลอลงบ้างในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา นโยบายการคลังกำลังสกัดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แม้ว่าผลกระทบอาจจะกำลังลดลง เงินเฟ้อได้ปรับตัวต่ำกว่าเป้าหมายระยะยาวของคณะกรรมการ แต่การคาดการณ์เงินเฟ้อระยะยาวยังคงทรงตัว
คณะกรรมการ FOMC พยายามที่จะสนับสนุนการจ้างงานให้ขยายตัวในระดับสูงสุดและสร้างเสถียรภาพด้านราคา ซึ่งสอดคล้องกับขอบเขตอำนาจหน้าที่ของเฟด คณะกรรมการคาดว่า ด้วยการผ่อนคลายนโยบายอย่างเหมาะสม การขยายตัวทางเศรษฐกิจจะกระเตื้องขึ้นจากช่วงที่ผ่านมาและอัตราว่างงานจะลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปสู่ระดับที่คณะกรรมการพิจารณาว่าสอดคล้องกับเป้าหมายหลัก 2 ประการ คณะกรรมการมองว่ามีความเสี่ยงช่วงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน ซึ่งได้มีความสมดุลมากขึ้น คณะกรรมการตระหนักว่าเงินเฟ้อที่ยังคงต่ำกว่าเป้าหมายที่ 2% อย่างต่อเนื่องนั้นอาจก่อความเสี่ยงต่ออาจก่อความเสี่ยงต่อการปรับตัวทางเศรษฐกิจ และกำลังจับตาความคืบหน้าด้านเงินเฟ้ออย่างระมัดระวังเพื่อประเมินความชัดเจนว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวกลับมาอยู่ใกล้เป้าหมายดังกล่าวในระยะกลาง
เมื่อพิจารณาถึงการลดรายจ่ายทางการคลังของรัฐบาลกลางนับแต่เริ่มโครงการซื้อสินทรัพย์ในปัจจุบันนั้น คณะกรรมการมองเห็นการปรับตัวดีขึ้นของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและภาวะตลาดแรงงานในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งสอดคล้องกับความแข็งแกร่งที่เพิ่มมากขึ้นของเศรษฐกิจโดยรวม และหลังจากมีความคืบหน้ามากขึ้นสู่การจ้างงานในระดับสูงสุดและการปรับตัวดีขึ้นของแนวโน้มสำหรับตลาดแรงงานนั้น คณะกรรมการได้ตัดสินใจที่จะปรับลดขนาดการซื้อสนิทรัพย์ดังกล่าวลงเล็กน้อย โดยเริ่มตั้งแต่เดือนม.ค.ปีหน้า โดยคณะกรรมการจะซื้อหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน (MBS) ของหน่วยงานที่รัฐบาลให้การสนับสนุนในวงเงิน 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน จากเดิม 4.0 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน และจะซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่มีอายุการไถ่ถอนนานขึ้นในวงเงิน 4.0 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน จากเดิม 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน คณะกรรมการยังคงดำเนินนโยบายที่มีอยู่ในปัจจุบันต่อไปในการนำเงินต้นที่ได้รับจากการถือครองตราสารหนี้ของหน่วยงานที่รัฐบาลให้การสนับสนุนและ MBS ของหน่วยงานที่รัฐบาลให้การสนับสนุน ไปลงทุนใหม่ใน MBS ของหน่วยงานที่รัฐบาลให้การสนับสนุน และเข้าซื้อพันธบัตรชุดใหม่เมื่อพันธบัตรเดิมครบกำหนดไถ่ถอนในการประมูล การที่คณะกรรมการยังคงถือครองตราสารหนี้ระยะยาวขึ้นในจำนวนมากและยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นนั้น น่าจะสร้างแรงกดดันช่วงขาลงต่ออัตราดอกเบี้ยระยะยาว ช่วยหนุนตลาดจำนอง และช่วยทำให้ภาวะทางการเงินในวงกว้างมีความผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งต่อจากนั้นก็น่าจะช่วยส่งเสริมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งขึ้น และช่วยสร้างความมั่นใจว่า เมื่อเวลาผ่านไป เงินเฟ้อจะอยู่ในอัตราที่สอดคล้องมากที่สุดกับเป้าหมายหลัก 2 ประการของคณะกรรมการ
คณะกรรมการจะจับตาดูข้อมูลที่กำลังจะมีการเปิดเผยเกี่ยวกับความคืบหน้าทางเศรษฐกิจและการเงินในช่วงหลายเดือนข้างหน้าอย่างใกล้ชิด และจะยังคงเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและ MBS ของหน่วยงานที่รัฐบาลให้การสนับสนุน รวมทั้งใช้เครื่องมือด้านนโยบายอื่นๆตามความเหมาะสมจนกว่าแนวโน้มของตลาดแรงงานจะปรับตัวดีขึ้นอย่างมากตามบริบทของความมีเสถียรภาพด้านราคา หากข้อมูลที่กำลังจะมีการเปิดเผยโดยรวมได้ช่วยหนุนการคาดการณ์ของคณะกรรมการหรือไม่ในประเด็นเกี่ยวกับการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของภาวะตลาดแรงงานและการที่เงินเฟ้อปรับตัวกลับมาอยู่ใกล้เป้าหมายระยะยาว คณะกรรมการก็มีแนวโน้มจะปรับลดขนาดการซื้อสินทรัพย์ในอัตราที่ระมัดระวังต่อเนื่องในการประชุมครั้งต่อๆไปในอนาคต อย่างไรก็ตาม การซื้อสินทรัพย์ไม่ได้เป็นแนวทางที่กำหนดไว้ล่วงหน้า และการตัดสินใจของคณะกรรมการเกี่ยวกับขนาดการซื้อสินทรัพย์จะยังคงขึ้นอยู่กับแนวโน้มสำหรับตลาดแรงงานและเงินเฟ้อของคณะกรรมการ รวมทั้งการประเมินเกี่ยวกับประสิทธิภาพและต้นทุนที่มีความเป็นไปได้ของการซื้อดังกล่าว
ในส่วนของการสนับสนุนให้มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องสู่การจ้างงานสูงสุดและความมีเสถียรภาพด้านราคานั้น คณะกรรมการได้ยืนยันอีกครั้งในวันนี้ถึงมุมมองที่ว่าท่าทีที่ผ่อนคลายอย่างมากด้านนโยบายการเงินจะยังคงมีความเหมาะสมต่อไปเป็นระยะเวลานานหลังจากแผนการซื้อสินทรัพย์สิ้นสุดลงและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่ง นอกจากนี้ คณะกรรมการยังได้ยืนยันการคาดการณ์ที่ว่าช่วงเป้าหมายที่ค่อนข้างต่ำในปัจจุบันสำหรับอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (federal funds rate) ไว้ที่ 0-0.25% นั้น จะยังคงมีความเหมาะสม ตราบเท่าที่อัตราว่างงานยังคงสูงกว่า 6.5%, มีการคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าจะสูงกว่าเป้าหมายระยะยาวที่ 2% ที่คณะกรรมการกำหนดไว้ไม่เกิน 0.5% และการคาดการณ์เงินเฟ้อระยะยาวยังคงอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้
สำหรับการตัดสินใจว่าจะยังคงมีท่าทีที่ผ่อนคลายอย่างมากด้านนโยบายการเงินเป็นระยะเวลานานเพียงใดนั้น คณะกรรมการก็จะพิจารณาข้อมูลอื่นๆด้วย ซึ่งรวมถึงการประเมินเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาวะตลาดแรงงาน, ปัจจัยชี้วัดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและการคาดการณ์เงินเฟ้อ และการประเมินความคืบหน้าทางการเงินต่างๆ
เมื่ออิงกับการประเมินปัจจัยเหล่านี้ ในขณะนี้คณะกรรมการคาดว่ามีแนวโน้มจะมีความเหมาะสมในการคงช่วงเป้าหมายในปัจจุบันสำหรับอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไปจนกว่าจะถึงช่วงเวลาที่อัตราว่างงานต่ำกว่า 6.5% โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเงินเฟ้อที่คาดการณ์ไว้ยังคงต่ำกว่าเป้าหมายระยะยาวของคณะกรรมการที่ 2% และเมื่อคณะกรรมการตัดสินใจที่จะเริ่มยกเลิกการผ่อนคลายด้านนโยบาย ก็จะใช้วิธีที่มีความสมดุล ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวของการจ้างงานสูงสุดและเงินเฟ้อที่ 2%
สำหรับผู้ที่ออกเสียงสนับสนุนการดำเนินนโยบายการเงินของ FOMC ได้แก่ เบน เอส. เบอร์นันเก้ ประธานเฟด, วิลเลียม ซี. ดัดลีย์ รองประธานเฟด, เจมส์ บูลลาร์ด, ชาร์ลส์ แอล. อีแวนส์, เอสเธอร์ แอล. จอร์จ, เจอโรม เอช. เพาเวล, เจเรมี ซี. สเตน, แดเนียล เค. ทารุลโล และเจเน็ต แอล. เยลเลน
ส่วนผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการดำเนินนโยบายดังกล่าว คือ เอริค เอส. โรเซนเกรน ซึ่งเชื่อว่า ขณะที่อัตราว่างงานยังคงอยู่ที่ระดับสูงและอัตราเงินเฟ้อต่ำกว่าเป้าหมายนั้น ยังเร็วเกินไปที่จะเปลี่ยนแปลงโครงการซื้อสินทรัพย์ดังกล่าว จนกว่าข้อมูลที่กำลังจะมีการเปิดเผยได้บ่งชี้อย่างชัดเจนมากขึ้นว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่ยั่งยืนเหนือศักยภาพ
(ข่าวจากสำนักข่าว รอยเตอร์)
ทวีสุข ธรรมศักดิ์
Executive Vice President.
RHB-OSK Securities (Thailand)PLC
RHB Banking Group
คณะกรรมการ FOMC พยายามที่จะสนับสนุนการจ้างงานให้ขยายตัวในระดับสูงสุดและสร้างเสถียรภาพด้านราคา ซึ่งสอดคล้องกับขอบเขตอำนาจหน้าที่ของเฟด คณะกรรมการคาดว่า ด้วยการผ่อนคลายนโยบายอย่างเหมาะสม การขยายตัวทางเศรษฐกิจจะกระเตื้องขึ้นจากช่วงที่ผ่านมาและอัตราว่างงานจะลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปสู่ระดับที่คณะกรรมการพิจารณาว่าสอดคล้องกับเป้าหมายหลัก 2 ประการ คณะกรรมการมองว่ามีความเสี่ยงช่วงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน ซึ่งได้มีความสมดุลมากขึ้น คณะกรรมการตระหนักว่าเงินเฟ้อที่ยังคงต่ำกว่าเป้าหมายที่ 2% อย่างต่อเนื่องนั้นอาจก่อความเสี่ยงต่ออาจก่อความเสี่ยงต่อการปรับตัวทางเศรษฐกิจ และกำลังจับตาความคืบหน้าด้านเงินเฟ้ออย่างระมัดระวังเพื่อประเมินความชัดเจนว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวกลับมาอยู่ใกล้เป้าหมายดังกล่าวในระยะกลาง
เมื่อพิจารณาถึงการลดรายจ่ายทางการคลังของรัฐบาลกลางนับแต่เริ่มโครงการซื้อสินทรัพย์ในปัจจุบันนั้น คณะกรรมการมองเห็นการปรับตัวดีขึ้นของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและภาวะตลาดแรงงานในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งสอดคล้องกับความแข็งแกร่งที่เพิ่มมากขึ้นของเศรษฐกิจโดยรวม และหลังจากมีความคืบหน้ามากขึ้นสู่การจ้างงานในระดับสูงสุดและการปรับตัวดีขึ้นของแนวโน้มสำหรับตลาดแรงงานนั้น คณะกรรมการได้ตัดสินใจที่จะปรับลดขนาดการซื้อสนิทรัพย์ดังกล่าวลงเล็กน้อย โดยเริ่มตั้งแต่เดือนม.ค.ปีหน้า โดยคณะกรรมการจะซื้อหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน (MBS) ของหน่วยงานที่รัฐบาลให้การสนับสนุนในวงเงิน 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน จากเดิม 4.0 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน และจะซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่มีอายุการไถ่ถอนนานขึ้นในวงเงิน 4.0 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน จากเดิม 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน คณะกรรมการยังคงดำเนินนโยบายที่มีอยู่ในปัจจุบันต่อไปในการนำเงินต้นที่ได้รับจากการถือครองตราสารหนี้ของหน่วยงานที่รัฐบาลให้การสนับสนุนและ MBS ของหน่วยงานที่รัฐบาลให้การสนับสนุน ไปลงทุนใหม่ใน MBS ของหน่วยงานที่รัฐบาลให้การสนับสนุน และเข้าซื้อพันธบัตรชุดใหม่เมื่อพันธบัตรเดิมครบกำหนดไถ่ถอนในการประมูล การที่คณะกรรมการยังคงถือครองตราสารหนี้ระยะยาวขึ้นในจำนวนมากและยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นนั้น น่าจะสร้างแรงกดดันช่วงขาลงต่ออัตราดอกเบี้ยระยะยาว ช่วยหนุนตลาดจำนอง และช่วยทำให้ภาวะทางการเงินในวงกว้างมีความผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งต่อจากนั้นก็น่าจะช่วยส่งเสริมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งขึ้น และช่วยสร้างความมั่นใจว่า เมื่อเวลาผ่านไป เงินเฟ้อจะอยู่ในอัตราที่สอดคล้องมากที่สุดกับเป้าหมายหลัก 2 ประการของคณะกรรมการ
คณะกรรมการจะจับตาดูข้อมูลที่กำลังจะมีการเปิดเผยเกี่ยวกับความคืบหน้าทางเศรษฐกิจและการเงินในช่วงหลายเดือนข้างหน้าอย่างใกล้ชิด และจะยังคงเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและ MBS ของหน่วยงานที่รัฐบาลให้การสนับสนุน รวมทั้งใช้เครื่องมือด้านนโยบายอื่นๆตามความเหมาะสมจนกว่าแนวโน้มของตลาดแรงงานจะปรับตัวดีขึ้นอย่างมากตามบริบทของความมีเสถียรภาพด้านราคา หากข้อมูลที่กำลังจะมีการเปิดเผยโดยรวมได้ช่วยหนุนการคาดการณ์ของคณะกรรมการหรือไม่ในประเด็นเกี่ยวกับการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของภาวะตลาดแรงงานและการที่เงินเฟ้อปรับตัวกลับมาอยู่ใกล้เป้าหมายระยะยาว คณะกรรมการก็มีแนวโน้มจะปรับลดขนาดการซื้อสินทรัพย์ในอัตราที่ระมัดระวังต่อเนื่องในการประชุมครั้งต่อๆไปในอนาคต อย่างไรก็ตาม การซื้อสินทรัพย์ไม่ได้เป็นแนวทางที่กำหนดไว้ล่วงหน้า และการตัดสินใจของคณะกรรมการเกี่ยวกับขนาดการซื้อสินทรัพย์จะยังคงขึ้นอยู่กับแนวโน้มสำหรับตลาดแรงงานและเงินเฟ้อของคณะกรรมการ รวมทั้งการประเมินเกี่ยวกับประสิทธิภาพและต้นทุนที่มีความเป็นไปได้ของการซื้อดังกล่าว
ในส่วนของการสนับสนุนให้มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องสู่การจ้างงานสูงสุดและความมีเสถียรภาพด้านราคานั้น คณะกรรมการได้ยืนยันอีกครั้งในวันนี้ถึงมุมมองที่ว่าท่าทีที่ผ่อนคลายอย่างมากด้านนโยบายการเงินจะยังคงมีความเหมาะสมต่อไปเป็นระยะเวลานานหลังจากแผนการซื้อสินทรัพย์สิ้นสุดลงและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่ง นอกจากนี้ คณะกรรมการยังได้ยืนยันการคาดการณ์ที่ว่าช่วงเป้าหมายที่ค่อนข้างต่ำในปัจจุบันสำหรับอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (federal funds rate) ไว้ที่ 0-0.25% นั้น จะยังคงมีความเหมาะสม ตราบเท่าที่อัตราว่างงานยังคงสูงกว่า 6.5%, มีการคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าจะสูงกว่าเป้าหมายระยะยาวที่ 2% ที่คณะกรรมการกำหนดไว้ไม่เกิน 0.5% และการคาดการณ์เงินเฟ้อระยะยาวยังคงอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้
สำหรับการตัดสินใจว่าจะยังคงมีท่าทีที่ผ่อนคลายอย่างมากด้านนโยบายการเงินเป็นระยะเวลานานเพียงใดนั้น คณะกรรมการก็จะพิจารณาข้อมูลอื่นๆด้วย ซึ่งรวมถึงการประเมินเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาวะตลาดแรงงาน, ปัจจัยชี้วัดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและการคาดการณ์เงินเฟ้อ และการประเมินความคืบหน้าทางการเงินต่างๆ
เมื่ออิงกับการประเมินปัจจัยเหล่านี้ ในขณะนี้คณะกรรมการคาดว่ามีแนวโน้มจะมีความเหมาะสมในการคงช่วงเป้าหมายในปัจจุบันสำหรับอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไปจนกว่าจะถึงช่วงเวลาที่อัตราว่างงานต่ำกว่า 6.5% โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเงินเฟ้อที่คาดการณ์ไว้ยังคงต่ำกว่าเป้าหมายระยะยาวของคณะกรรมการที่ 2% และเมื่อคณะกรรมการตัดสินใจที่จะเริ่มยกเลิกการผ่อนคลายด้านนโยบาย ก็จะใช้วิธีที่มีความสมดุล ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวของการจ้างงานสูงสุดและเงินเฟ้อที่ 2%
สำหรับผู้ที่ออกเสียงสนับสนุนการดำเนินนโยบายการเงินของ FOMC ได้แก่ เบน เอส. เบอร์นันเก้ ประธานเฟด, วิลเลียม ซี. ดัดลีย์ รองประธานเฟด, เจมส์ บูลลาร์ด, ชาร์ลส์ แอล. อีแวนส์, เอสเธอร์ แอล. จอร์จ, เจอโรม เอช. เพาเวล, เจเรมี ซี. สเตน, แดเนียล เค. ทารุลโล และเจเน็ต แอล. เยลเลน
ส่วนผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการดำเนินนโยบายดังกล่าว คือ เอริค เอส. โรเซนเกรน ซึ่งเชื่อว่า ขณะที่อัตราว่างงานยังคงอยู่ที่ระดับสูงและอัตราเงินเฟ้อต่ำกว่าเป้าหมายนั้น ยังเร็วเกินไปที่จะเปลี่ยนแปลงโครงการซื้อสินทรัพย์ดังกล่าว จนกว่าข้อมูลที่กำลังจะมีการเปิดเผยได้บ่งชี้อย่างชัดเจนมากขึ้นว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่ยั่งยืนเหนือศักยภาพ
(ข่าวจากสำนักข่าว รอยเตอร์)
ทวีสุข ธรรมศักดิ์
Executive Vice President.
RHB-OSK Securities (Thailand)PLC
RHB Banking Group