นายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาเซนต์หลุยส์ ออกแถลงการณ์ตำหนิการตัดสินใจของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) ในสัปดาห์ที่แล้ว ในการประกาศแผนการปรับลดวงเงินในมาตรการเข้าซื้อตราสารหนี้ หรือมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) โดยนายบูลลาร์ดระบุว่า FOMC เคลื่อนไหวเร็วเกินไปในเรื่องนี้ และเขากังวลว่า เฟดอาจจะสูญเสียความน่าเชื่อถือในฐานะผู้รักษาเสถียรภาพของราคา
ทั้งนี้ เฟดสาขาเซนต์หลุยส์ออกแถลงการณ์เพื่อชี้แจงความเห็นของนาย บูลลาร์ด โดยระบุว่า ตัวเลขคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของเฟดและการคาดการณ์ของเฟดที่ว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับต่ำต่อไป ไม่ได้เป็นปัจจัยที่เอื้ออำนวยให้เฟดตัดสินใจปรับลดวงเงินในมาตรการเข้าซื้อตราสารหนี้ลงจากระดับ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนในปัจจุบัน
ขณะนี้ เฟดเข้าซื้อหลักทรัพย์ที่ได้รับการค้ำประกันจากสัญญาจำนอง(MBS) ในอัตรา 4 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน และเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะยาวในอัตรา 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน
เฟดสาขาเซนต์หลุยส์ระบุในแถลงการณ์ว่า "นายบูลลาร์ดมองว่า การตัดสินใจของ FOMC ในการให้อำนาจประธานเฟดชี้แจงแผนการอย่างละเอียดเรื่องการชะลออัตราการเข้าซื้อสินทรัพย์นั้น ถือเป็นการตัดสินใจในเวลาที่ไม่เหมาะสม"
ตลาดการเงินโลกดิ่งลงอย่างรุนแรงนับตั้งแต่นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟด เปิดเผยในวันพุธว่า เฟดมีแผนการชะลออัตราการเข้าซื้อสินทรัพย์ในช่วงต่อไปในปีนี้ ถ้าหากเศรษฐกิจสหรัฐยังคงปรับตัวดีขึ้นเหมือนอย่างที่เฟดคาดการณ์ไว้ และจะยุตืการเข้าซื้อสินทรัพย์ในกลางปีหน้า
การที่นายบูลลาร์ดลงคะแนนเสียงคัดค้านมติเฟดในวันพุธที่ผ่านมาถือเป็นการลงคะแนนเสียงคัดค้านครั้งแรกของเขา และเป็น 1 ใน 2 เสียงคัดค้านจากสมาชิกคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) ในการประชุมครั้งนี้ โดยผู้ที่ลงคะแนนเสียงคัดค้านอีกรายหนึ่ง ได้แก่นางเอสเธอร์ จอร์จ ประธานเฟดสาขาแคนซัส ซิตี้ โดยนางจอร์จลงคะแนนเสียงคัดค้านมติเฟดทุกครั้งในการประชุมในปีนี้ แต่นางจอร์จ มีความเห็นตรงข้ามกับนายบูลลาร์ด เพราะนางจอร์จกังวลว่า มาตรการเข้าซื้อตราสารหนี้ของเฟดอาจกระตุ้นให้เกิดภาวะไร้เสถียรภาพทางการเงิน
นักลงทุนประหลาดใจที่นายเบอร์นันเก้เปิดเผยแผนการยุติ QE ในการแถลงข่าวที่จัดขึ้นหลังจากเฟดออกแถลงการณ์ของที่ประชุม เพราะโดยปกติแล้ว FOMC มักจะไม่ได้ให้ประธานเฟดชี้แจงทิศทางนโยบาย การเงินในการแถลงข่าว
เฟดตรึงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ระดับใกล้ 0 % นับตั้งแต่เดือน ธ.ค.2008 เป็นต้นมา และเฟดก็เข้าซื้อตราสารหนี้ในอัตรา 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนในช่วงนี้เพื่อกดดันต้นทุนการกู้ยืมระยะยาว ให้ลดต่ำลง โดยมาตรการนี้มีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นการจ้างงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจในสหรัฐ
นายบูลลาร์ดออกแถลงการณ์ดังกล่าวหลังจากช่วงเวลาห้ามแสดงความเห็นของเจ้าหน้าที่เฟดต่อการประชุม FOMC สิ้นสุดลง โดยก่อนหน้านี้นายเจฟฟรีย์ แลคเกอร์ ประธานเฟดสาขาริชมอนด์ ก็เคยทำแบบเดียวกับนายบูลลาร์ด โดยเขาได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงการลงคะแนนเสียงคัดค้านมติเฟดของเขาในปี 2012 โดยนายแลคเกอร์ลงคะแนนเสียงคัดค้านทุกครั้งในการประชุมในปีนั้น
เฟดสาขาเซนต์หลุยส์ตั้งข้อสังเกตว่า ในวันพุธที่ผ่านมา สมาชิก FOMC 19 คนได้ออกรายงานคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจ โดยได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อประจำปี 2013 ลงจากเดิม แต่ FOMC กลับ "ประกาศในเวลาเดียวกันว่า อาจจะมีการปรับลดขนาดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ"
เฟดสาขาเซนต์หลุยส์ระบุว่า "นายบูลลาร์ดมองว่า วิธีการที่รอบคอบกว่านี้ คือการรอให้มีสัญญาณที่ชัดเจนกว่านี้ที่แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่งขึ้น และอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มเข้าใกล้ระดับเป้าหมาย ก่อนที่เฟดจะประกาศเรื่องแบบนี้ออกมา"
เฟดสาขาเซนต์หลุยส์ย้ำว่า นายบูลลาร์ดมองว่า เฟดควรแสดงความเต็มใจมากกว่านี้ในการปกป้องเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อที่ 2 % เนื่องจากอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำในปัจจุบัน และสิ่งนี้สอดคล้องกับคำอธิบายของนายบูลลาร์ดในการลงคะแนนเสียงคัดค้านมติเฟดในวันพุธที่ 19 มิ.ย.
นายบูลลาร์ดกังวลว่า เฟดอาจจะสูญเสียความน่าเชื่อถือในฐานะผู้รักษาเสถียรภาพของราคา ถ้าหากเฟดไม่ได้ดำเนินมาตรการหนุนราคาให้สูงขึ้นในช่วงที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ต่ำกว่าเป้าหมาย และไม่ได้ดำเนินมาตรการกดดัน ราคาให้ดิ่งลงในช่วงที่อัตราเงินเฟ้ออยู่สูงกว่าเป้าหมาย
เฟดมักจะใช้ดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐ โดยดัชนีราคา PCE อยู่ที่ระดับเพียง 0.7 % ในเดือนเม.ย.เมื่อเทียบรายปี และดัชนีราคา PCE พื้นฐาน ซึ่งไม่รวมหมวดอาหารและพลังงานอยู่ที่ระดับสูงกว่า 1 % เล็กน้อยในเดือนเม.ย.
FOMC คาดว่า ดัชนีราคา PCE อาจปรับตัวขึ้น 0.8-1.2 % ในปีนี้ โดยตัวเลขคาดการณ์นี้ลดลงจากระดับ 1.3-1.7 % ที่เคยคาดการณ์ไว้ในเดือนมี.ค.
FOMC คาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) อาจเติบโต 2.3-2.6 % ในปี 2013 ลดลงเล็กน้อยจากระดับ 2.3-2.8 % ที่เฟดเคยคาดการณ์ไว้ในเดือนมี.ค.
นายเบอร์นันเก้ระบุในวันพุธว่า มาตรการเข้าซื้อตราสารหนี้ของเฟดมีแนวโน้มที่จะสิ้นสุดลงในช่วงกลางปี 2014
ทั้งนี้ เฟดสาขาเซนต์หลุยส์ระบุว่า นายบูลลาร์ดมองว่าการตัดสินใจ กำหนดตารางเวลาในการปรับลดขนาด QE ลงในครั้งนี้ ถือเป็นการก้าวออกห่างจากวิธีการกำหนดนโยบายการเงินโดยคำนึงถึงสภาพเศรษฐกิจเป็นหลัก แทนที่จะคำนึงถึงกำหนดวันที่ในปฏิทินเป็นหลัก
ข่าวจากสำนักข่าว รอยเตอร์
T.Thammasak
ทั้งนี้ เฟดสาขาเซนต์หลุยส์ออกแถลงการณ์เพื่อชี้แจงความเห็นของนาย บูลลาร์ด โดยระบุว่า ตัวเลขคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของเฟดและการคาดการณ์ของเฟดที่ว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับต่ำต่อไป ไม่ได้เป็นปัจจัยที่เอื้ออำนวยให้เฟดตัดสินใจปรับลดวงเงินในมาตรการเข้าซื้อตราสารหนี้ลงจากระดับ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนในปัจจุบัน
ขณะนี้ เฟดเข้าซื้อหลักทรัพย์ที่ได้รับการค้ำประกันจากสัญญาจำนอง(MBS) ในอัตรา 4 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน และเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะยาวในอัตรา 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน
เฟดสาขาเซนต์หลุยส์ระบุในแถลงการณ์ว่า "นายบูลลาร์ดมองว่า การตัดสินใจของ FOMC ในการให้อำนาจประธานเฟดชี้แจงแผนการอย่างละเอียดเรื่องการชะลออัตราการเข้าซื้อสินทรัพย์นั้น ถือเป็นการตัดสินใจในเวลาที่ไม่เหมาะสม"
ตลาดการเงินโลกดิ่งลงอย่างรุนแรงนับตั้งแต่นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟด เปิดเผยในวันพุธว่า เฟดมีแผนการชะลออัตราการเข้าซื้อสินทรัพย์ในช่วงต่อไปในปีนี้ ถ้าหากเศรษฐกิจสหรัฐยังคงปรับตัวดีขึ้นเหมือนอย่างที่เฟดคาดการณ์ไว้ และจะยุตืการเข้าซื้อสินทรัพย์ในกลางปีหน้า
การที่นายบูลลาร์ดลงคะแนนเสียงคัดค้านมติเฟดในวันพุธที่ผ่านมาถือเป็นการลงคะแนนเสียงคัดค้านครั้งแรกของเขา และเป็น 1 ใน 2 เสียงคัดค้านจากสมาชิกคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) ในการประชุมครั้งนี้ โดยผู้ที่ลงคะแนนเสียงคัดค้านอีกรายหนึ่ง ได้แก่นางเอสเธอร์ จอร์จ ประธานเฟดสาขาแคนซัส ซิตี้ โดยนางจอร์จลงคะแนนเสียงคัดค้านมติเฟดทุกครั้งในการประชุมในปีนี้ แต่นางจอร์จ มีความเห็นตรงข้ามกับนายบูลลาร์ด เพราะนางจอร์จกังวลว่า มาตรการเข้าซื้อตราสารหนี้ของเฟดอาจกระตุ้นให้เกิดภาวะไร้เสถียรภาพทางการเงิน
นักลงทุนประหลาดใจที่นายเบอร์นันเก้เปิดเผยแผนการยุติ QE ในการแถลงข่าวที่จัดขึ้นหลังจากเฟดออกแถลงการณ์ของที่ประชุม เพราะโดยปกติแล้ว FOMC มักจะไม่ได้ให้ประธานเฟดชี้แจงทิศทางนโยบาย การเงินในการแถลงข่าว
เฟดตรึงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ระดับใกล้ 0 % นับตั้งแต่เดือน ธ.ค.2008 เป็นต้นมา และเฟดก็เข้าซื้อตราสารหนี้ในอัตรา 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนในช่วงนี้เพื่อกดดันต้นทุนการกู้ยืมระยะยาว ให้ลดต่ำลง โดยมาตรการนี้มีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นการจ้างงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจในสหรัฐ
นายบูลลาร์ดออกแถลงการณ์ดังกล่าวหลังจากช่วงเวลาห้ามแสดงความเห็นของเจ้าหน้าที่เฟดต่อการประชุม FOMC สิ้นสุดลง โดยก่อนหน้านี้นายเจฟฟรีย์ แลคเกอร์ ประธานเฟดสาขาริชมอนด์ ก็เคยทำแบบเดียวกับนายบูลลาร์ด โดยเขาได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงการลงคะแนนเสียงคัดค้านมติเฟดของเขาในปี 2012 โดยนายแลคเกอร์ลงคะแนนเสียงคัดค้านทุกครั้งในการประชุมในปีนั้น
เฟดสาขาเซนต์หลุยส์ตั้งข้อสังเกตว่า ในวันพุธที่ผ่านมา สมาชิก FOMC 19 คนได้ออกรายงานคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจ โดยได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อประจำปี 2013 ลงจากเดิม แต่ FOMC กลับ "ประกาศในเวลาเดียวกันว่า อาจจะมีการปรับลดขนาดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ"
เฟดสาขาเซนต์หลุยส์ระบุว่า "นายบูลลาร์ดมองว่า วิธีการที่รอบคอบกว่านี้ คือการรอให้มีสัญญาณที่ชัดเจนกว่านี้ที่แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่งขึ้น และอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มเข้าใกล้ระดับเป้าหมาย ก่อนที่เฟดจะประกาศเรื่องแบบนี้ออกมา"
เฟดสาขาเซนต์หลุยส์ย้ำว่า นายบูลลาร์ดมองว่า เฟดควรแสดงความเต็มใจมากกว่านี้ในการปกป้องเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อที่ 2 % เนื่องจากอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำในปัจจุบัน และสิ่งนี้สอดคล้องกับคำอธิบายของนายบูลลาร์ดในการลงคะแนนเสียงคัดค้านมติเฟดในวันพุธที่ 19 มิ.ย.
นายบูลลาร์ดกังวลว่า เฟดอาจจะสูญเสียความน่าเชื่อถือในฐานะผู้รักษาเสถียรภาพของราคา ถ้าหากเฟดไม่ได้ดำเนินมาตรการหนุนราคาให้สูงขึ้นในช่วงที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ต่ำกว่าเป้าหมาย และไม่ได้ดำเนินมาตรการกดดัน ราคาให้ดิ่งลงในช่วงที่อัตราเงินเฟ้ออยู่สูงกว่าเป้าหมาย
เฟดมักจะใช้ดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐ โดยดัชนีราคา PCE อยู่ที่ระดับเพียง 0.7 % ในเดือนเม.ย.เมื่อเทียบรายปี และดัชนีราคา PCE พื้นฐาน ซึ่งไม่รวมหมวดอาหารและพลังงานอยู่ที่ระดับสูงกว่า 1 % เล็กน้อยในเดือนเม.ย.
FOMC คาดว่า ดัชนีราคา PCE อาจปรับตัวขึ้น 0.8-1.2 % ในปีนี้ โดยตัวเลขคาดการณ์นี้ลดลงจากระดับ 1.3-1.7 % ที่เคยคาดการณ์ไว้ในเดือนมี.ค.
FOMC คาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) อาจเติบโต 2.3-2.6 % ในปี 2013 ลดลงเล็กน้อยจากระดับ 2.3-2.8 % ที่เฟดเคยคาดการณ์ไว้ในเดือนมี.ค.
นายเบอร์นันเก้ระบุในวันพุธว่า มาตรการเข้าซื้อตราสารหนี้ของเฟดมีแนวโน้มที่จะสิ้นสุดลงในช่วงกลางปี 2014
ทั้งนี้ เฟดสาขาเซนต์หลุยส์ระบุว่า นายบูลลาร์ดมองว่าการตัดสินใจ กำหนดตารางเวลาในการปรับลดขนาด QE ลงในครั้งนี้ ถือเป็นการก้าวออกห่างจากวิธีการกำหนดนโยบายการเงินโดยคำนึงถึงสภาพเศรษฐกิจเป็นหลัก แทนที่จะคำนึงถึงกำหนดวันที่ในปฏิทินเป็นหลัก
ข่าวจากสำนักข่าว รอยเตอร์
T.Thammasak