เจ้าหน้าที่ระดับสูง 2 คนของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า เฟดอาจปรับลดวงเงินในมาตรการเข้าซื้อพันธบัตร หรือมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในฤดูร้อนปีนี้ อย่างไรก็ดี การตัดสินใจในเรื่องนี้ยังคงขึ้นอยู่กับการที่เศรษฐกิจสหรัฐปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ นายเดนนิส ล็อคฮาร์ท ประธานเฟดสาขาแอตแลนตา กล่าวทางสถานีโทรทัศน์ BNN ในแคนาดาว่า การที่เฟดจะปรับลดขนาดของมาตรการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและหลักทรัพย์ที่ได้รับการค้ำประกันจำสัญญาจำนอง (MBS) ในอัตรา 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน เป็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ภายใน เดือนก.ย. "ถ้าหากมีการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจในเชิงบวกในช่วงหลายสัปดาห์ข้างหน้า"
นายล็อคฮาร์ทกล่าวในการให้สัมภาษณ์ต่อบลูมเบิร์ก เทเลวิชันว่า เขาพร้อมที่จะพิจารณาสนับสนุนการปรับลดวงเงินในมาตรการเข้าซื้อตราสารหนี้ลง "ในการประชุมเฟด 3 ครั้งข้างหน้า โดยผมมีแนวโน้มที่จะใช้ความระมัดระวัง และคิดว่าอาจจะเป็นในเดือนส.ค. หรือก.ย. หรือในช่วงต่อไปในปีนี้"
ทางด้านนายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโก กล่าวย้ำที่กรุงสต็อกโฮล์มวานนี้ว่า ตลาดการจ้างงานของสหรัฐกำลังปรับตัวดีขึ้นในระดับที่มากพอที่จะเปิดโอกาสให้เฟดปรับลดวงเงินในมาตรการเข้าซื้อตราสารหนี้ลงในฤดูร้อนปีนี้
ขณะเดียวกัน นายวิลเลียมส์กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อที่ระดับต่ำเป็นสิ่งที่ ต้องได้รับการจับตามองอย่างระมัดระวัง ส่วนนายล็อคฮาร์ทกล่าวว่า เฟดอาจจะยังไม่ตัดสินใจเรื่องการชะลอมาตรการเข้าซื้อตราสารหนี้ในการประชุมวันที่ 18-19 มิ.ย.นี้
อย่างไรก็ดี ความเห็นของทั้งสองช่วยสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่า เฟดพร้อมที่จะปรับลดขนาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจลงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า หลังจากที่นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟด ได้สร้างความประหลาดใจให้แก่ตลาดการเงินในเดือนพ.ค.เมื่อเขากล่าวว่า เฟดอาจจะปรับลดวงเงินในมาตรการ เข้าซื้อตราสารหนี้ในการประชุมอีกไม่กี่ครั้งข้างหน้า ขณะที่ผู้กำหนดนโยบายคนอื่นๆ ของเฟดก็ได้แสดงความเห็นสนับสนุนแนวคิดนี้เช่นกันในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
นายวิลเลียมส์แสดงความเห็นที่สอดคล้องกับถ้อยแถลงเดิมของเขาในเดือน เม.ย. โดยเขากล่าวว่า เฟดอาจจะยุติโครงการเข้าซื้อตราสารหนี้ก่อนสิ้นปีนี้อย่างไรก็ดี นายวิลเลียมส์ถือเป็นประธานเฟดระดับภูมิภาคคนที่สองที่กล่าวอย่างชัดเจนว่า แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อมีส่วนเกี่ยวข้องกับประเด็นที่ว่า เฟดจะปรับลดขนาด QE ลงหรือไม่
นายวิลเลียมส์กล่าวว่า "สิ่งที่สำคัญสำหรับผมก็คือการจับตาดูสัญญาณอย่างต่อเนื่องในตลาดแรงงานสหรัฐ และสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่า ความเชื่อมั่นได้เพิ่มสูงขึ้นในเศรษฐกิจสหรัฐ นอกจากนี้ เราต้องจับตาดูอย่างระมัด ระวังอีกด้วยว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ระดับใด และแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อเป็นเช่นใด"
ด้านนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ ถือเป็นประธานเฟดคนแรกที่กล่าวถึงประเด็นนี้ โดยเขากล่าวในเดือนพ.ค.ว่า อัตราเงินเฟ้อจำเป็นต้องปรับตัวสูงขึ้น ก่อนที่เขาจะลงคะแนนเสียงสนับสนุนการลดขนาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
เฟดกำลังเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและ MBS ในอัตรา 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน เพื่อกดดันอัตราดอกเบี้ยระยะยาวให้ลดต่ำลง และเพื่อกระตุ้นการจ้างงาน โดยเฟดประกาศว่า เฟดจะดำเนินโครงการนี้ต่อไปจนกว่าแนวโน้มในตลาดแรงงานจะปรับตัวดีขึ้นเป็นอย่างมาก
นายวิลเลียมส์ตั้งข้อสังเกตว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 1 % ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายของเฟดที่ตั้งไว้ที่ 2 % นอกจากนี้ นายวิลเลียมส์ยังกล่าวเสริมว่า ปัจจัย ชั่วคราวคือสาเหตุหลักที่ทำให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำในปัจจุบัน และเขาคาดว่า อัตราเงินเฟ้อจะพุ่งขึ้นสู่ 2 % ในอนาคต
นายวิลเลียมส์กล่าวว่า สิ่งนี้ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่เฟดควรจับตามองเมื่อเฟดกำหนดนโยบายการเงิน
นายวิลเลียมส์กล่าวเสริมว่า "ถ้าหากอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง หรือเกิดเหตุการณ์ที่น่าเป็นห่วงกว่านั้น ซึ่งได้แก่การที่การคาดการณ์ อัตราเงินเฟ้อในระยะยาวร่วงลงสู่ระดับต่ำกว่า 2 % เป็นอย่างมาก เมื่อนั้นปัจจัยเหล่านี้ก็จะสนับสนุนให้เฟดเพิ่มวงเงินในโครงการเข้าซื้อตราสารหนี้ให้สูงขึ้นไปอีก ถ้าหากปัจจัยอื่นๆยังคงอยู่ในสภาพเดิม"
ทางด้านนายล็อคฮาร์ทกล่าวว่า เฟดจะพิจารณาการปรับลดขนาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจลงในเร็วๆนี้ และเขากล่าวเสริมว่า "นั่นไม่ได้หมายความว่าเฟด จะพิจารณาเรื่องนี้ในการประชุมเดือนมิ.ย. แต่เรากำลังเข้าสู่ช่วงเวลาที่เรื่องนี้อาจได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง โดยตั้งอยู่บนแรงหนุนทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจจะไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงมาก แต่ก็เคลื่อนตัวไปข้างหน้า และตั้งอยู่บนความเชื่อมั่นที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเศรษฐกิจสหรัฐ"
ก่อนหน้านี้นายล็อคฮาร์ทเคยกล่าวว่า ผู้กำหนดนโยบายอาจจะพิจารณาปรับลดขนาด QE ลงในช่วงครึ่งปีหลัง
นายล็อคฮาร์ทคาดว่า การจ้างงานจะยังคงเติบโตขึ้นในระดับราว 160,000 -170,000 ตำแหน่งต่อเดือนต่อไป และตัวเลขการจ้างงานที่ต่ำกว่าระดับดังกล่าวอาจจะสร้างความกังวลให้แก่เฟด
รัฐบาลสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนพ.ค. ในวันศุกร์นี้ โดยโพลล์รอยเตอร์คาดว่า การจ้างงานอาจเพิ่มขึ้น 170,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค.
นายล็อคฮาร์ทระบุอย่างชัดเจนว่า เขาจะไม่สนับสนุนให้เฟดยุติ QE ลงทั้งหมด โดยเขากล่าวเสริมว่า "อย่างน้อยก็มีสมาชิกคนหนึ่งในคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด (FOMC) ที่ไม่คิดถึงเรื่องการลดขนาดมาตรการดังกล่าวลงสู่ระดับศูนย์ หรือการถอดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งหมดออกไป"
FOMC จะจัดประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 18-19 มิ.ย., 30-31 ก.ค. และ 17-18 ก.ย. โดยทั้งนายล็อคฮาร์ทและนายวิลเลียมส์จะเข้าร่วมในการประชุม แต่ทั้งสองไม่มีสิทธิออกเสียงในปีนี้
(ข่าวจากสำนักข่าว รอยเตอร์)
T.Thammasak
ทั้งนี้ นายเดนนิส ล็อคฮาร์ท ประธานเฟดสาขาแอตแลนตา กล่าวทางสถานีโทรทัศน์ BNN ในแคนาดาว่า การที่เฟดจะปรับลดขนาดของมาตรการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและหลักทรัพย์ที่ได้รับการค้ำประกันจำสัญญาจำนอง (MBS) ในอัตรา 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน เป็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ภายใน เดือนก.ย. "ถ้าหากมีการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจในเชิงบวกในช่วงหลายสัปดาห์ข้างหน้า"
นายล็อคฮาร์ทกล่าวในการให้สัมภาษณ์ต่อบลูมเบิร์ก เทเลวิชันว่า เขาพร้อมที่จะพิจารณาสนับสนุนการปรับลดวงเงินในมาตรการเข้าซื้อตราสารหนี้ลง "ในการประชุมเฟด 3 ครั้งข้างหน้า โดยผมมีแนวโน้มที่จะใช้ความระมัดระวัง และคิดว่าอาจจะเป็นในเดือนส.ค. หรือก.ย. หรือในช่วงต่อไปในปีนี้"
ทางด้านนายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโก กล่าวย้ำที่กรุงสต็อกโฮล์มวานนี้ว่า ตลาดการจ้างงานของสหรัฐกำลังปรับตัวดีขึ้นในระดับที่มากพอที่จะเปิดโอกาสให้เฟดปรับลดวงเงินในมาตรการเข้าซื้อตราสารหนี้ลงในฤดูร้อนปีนี้
ขณะเดียวกัน นายวิลเลียมส์กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อที่ระดับต่ำเป็นสิ่งที่ ต้องได้รับการจับตามองอย่างระมัดระวัง ส่วนนายล็อคฮาร์ทกล่าวว่า เฟดอาจจะยังไม่ตัดสินใจเรื่องการชะลอมาตรการเข้าซื้อตราสารหนี้ในการประชุมวันที่ 18-19 มิ.ย.นี้
อย่างไรก็ดี ความเห็นของทั้งสองช่วยสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่า เฟดพร้อมที่จะปรับลดขนาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจลงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า หลังจากที่นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟด ได้สร้างความประหลาดใจให้แก่ตลาดการเงินในเดือนพ.ค.เมื่อเขากล่าวว่า เฟดอาจจะปรับลดวงเงินในมาตรการ เข้าซื้อตราสารหนี้ในการประชุมอีกไม่กี่ครั้งข้างหน้า ขณะที่ผู้กำหนดนโยบายคนอื่นๆ ของเฟดก็ได้แสดงความเห็นสนับสนุนแนวคิดนี้เช่นกันในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
นายวิลเลียมส์แสดงความเห็นที่สอดคล้องกับถ้อยแถลงเดิมของเขาในเดือน เม.ย. โดยเขากล่าวว่า เฟดอาจจะยุติโครงการเข้าซื้อตราสารหนี้ก่อนสิ้นปีนี้อย่างไรก็ดี นายวิลเลียมส์ถือเป็นประธานเฟดระดับภูมิภาคคนที่สองที่กล่าวอย่างชัดเจนว่า แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อมีส่วนเกี่ยวข้องกับประเด็นที่ว่า เฟดจะปรับลดขนาด QE ลงหรือไม่
นายวิลเลียมส์กล่าวว่า "สิ่งที่สำคัญสำหรับผมก็คือการจับตาดูสัญญาณอย่างต่อเนื่องในตลาดแรงงานสหรัฐ และสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่า ความเชื่อมั่นได้เพิ่มสูงขึ้นในเศรษฐกิจสหรัฐ นอกจากนี้ เราต้องจับตาดูอย่างระมัด ระวังอีกด้วยว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ระดับใด และแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อเป็นเช่นใด"
ด้านนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ ถือเป็นประธานเฟดคนแรกที่กล่าวถึงประเด็นนี้ โดยเขากล่าวในเดือนพ.ค.ว่า อัตราเงินเฟ้อจำเป็นต้องปรับตัวสูงขึ้น ก่อนที่เขาจะลงคะแนนเสียงสนับสนุนการลดขนาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
เฟดกำลังเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและ MBS ในอัตรา 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน เพื่อกดดันอัตราดอกเบี้ยระยะยาวให้ลดต่ำลง และเพื่อกระตุ้นการจ้างงาน โดยเฟดประกาศว่า เฟดจะดำเนินโครงการนี้ต่อไปจนกว่าแนวโน้มในตลาดแรงงานจะปรับตัวดีขึ้นเป็นอย่างมาก
นายวิลเลียมส์ตั้งข้อสังเกตว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 1 % ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายของเฟดที่ตั้งไว้ที่ 2 % นอกจากนี้ นายวิลเลียมส์ยังกล่าวเสริมว่า ปัจจัย ชั่วคราวคือสาเหตุหลักที่ทำให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำในปัจจุบัน และเขาคาดว่า อัตราเงินเฟ้อจะพุ่งขึ้นสู่ 2 % ในอนาคต
นายวิลเลียมส์กล่าวว่า สิ่งนี้ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่เฟดควรจับตามองเมื่อเฟดกำหนดนโยบายการเงิน
นายวิลเลียมส์กล่าวเสริมว่า "ถ้าหากอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง หรือเกิดเหตุการณ์ที่น่าเป็นห่วงกว่านั้น ซึ่งได้แก่การที่การคาดการณ์ อัตราเงินเฟ้อในระยะยาวร่วงลงสู่ระดับต่ำกว่า 2 % เป็นอย่างมาก เมื่อนั้นปัจจัยเหล่านี้ก็จะสนับสนุนให้เฟดเพิ่มวงเงินในโครงการเข้าซื้อตราสารหนี้ให้สูงขึ้นไปอีก ถ้าหากปัจจัยอื่นๆยังคงอยู่ในสภาพเดิม"
ทางด้านนายล็อคฮาร์ทกล่าวว่า เฟดจะพิจารณาการปรับลดขนาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจลงในเร็วๆนี้ และเขากล่าวเสริมว่า "นั่นไม่ได้หมายความว่าเฟด จะพิจารณาเรื่องนี้ในการประชุมเดือนมิ.ย. แต่เรากำลังเข้าสู่ช่วงเวลาที่เรื่องนี้อาจได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง โดยตั้งอยู่บนแรงหนุนทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจจะไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงมาก แต่ก็เคลื่อนตัวไปข้างหน้า และตั้งอยู่บนความเชื่อมั่นที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเศรษฐกิจสหรัฐ"
ก่อนหน้านี้นายล็อคฮาร์ทเคยกล่าวว่า ผู้กำหนดนโยบายอาจจะพิจารณาปรับลดขนาด QE ลงในช่วงครึ่งปีหลัง
นายล็อคฮาร์ทคาดว่า การจ้างงานจะยังคงเติบโตขึ้นในระดับราว 160,000 -170,000 ตำแหน่งต่อเดือนต่อไป และตัวเลขการจ้างงานที่ต่ำกว่าระดับดังกล่าวอาจจะสร้างความกังวลให้แก่เฟด
รัฐบาลสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนพ.ค. ในวันศุกร์นี้ โดยโพลล์รอยเตอร์คาดว่า การจ้างงานอาจเพิ่มขึ้น 170,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค.
นายล็อคฮาร์ทระบุอย่างชัดเจนว่า เขาจะไม่สนับสนุนให้เฟดยุติ QE ลงทั้งหมด โดยเขากล่าวเสริมว่า "อย่างน้อยก็มีสมาชิกคนหนึ่งในคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด (FOMC) ที่ไม่คิดถึงเรื่องการลดขนาดมาตรการดังกล่าวลงสู่ระดับศูนย์ หรือการถอดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งหมดออกไป"
FOMC จะจัดประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 18-19 มิ.ย., 30-31 ก.ค. และ 17-18 ก.ย. โดยทั้งนายล็อคฮาร์ทและนายวิลเลียมส์จะเข้าร่วมในการประชุม แต่ทั้งสองไม่มีสิทธิออกเสียงในปีนี้
(ข่าวจากสำนักข่าว รอยเตอร์)
T.Thammasak