นายชาร์ลส์ อีแวนส์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาชิคาโก กล่าวว่า เฟดอาจจะดำเนินโครงการซื้อตราสารหนี้ต่อไปอย่างเต็มที่ตลอดช่วงฤดูร้อนปีนี้ แต่อาจจะยุติโครงการนี้อย่างฉับพลันในฤดูใบไม้ร่วง ถ้าหากเฟดมีความมั่นใจว่า แนวโน้มการจ้างงานจะปรับตัวดีขึ้นอย่างยั่งยืน
นายอีแวนส์กล่าวว่า "เราได้เห็นแล้วว่า แนวโน้มในตลาดแรงงานปรับตัวดีขึ้นเป็นอย่างมาก"
ปัจจุบันนี้เฟดเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและหลักทรัพย์ที่ได้รับการค้ำประกันจากสัญญาจำนอง (MBS) ในอัตรา 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน โดยมีจุดประสงค์เพื่อกดดันต้นทุนการกู้ยืมให้ลดต่ำลง และกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฟดได้ให้สัญญาว่าจะเข้าซื้อตราสารหนี้ต่อไปจนกว่าแนวโน้มในตลาดแรงงานจะปรับตัวดีขึ้นเป็นอย่างมาก
เจ้าหน้าที่เฟดบางรายเรียกร้องให้เฟดปรับลดขนาดการเข้าซื้อตราสารหนี้ เนื่องจากสถานการณ์ด้านการจ้างงานในสหรัฐปรับตัวดีขึ้นแล้ว เมื่อเทียบกับ ในช่วงเริ่มต้นโครงการ โดยปัจจุบันนี้การจ้างงานนอกภาคเกษตรในสหรัฐเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 200,000 ตำแหน่งต่อเดือนในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา และอัตราการว่างงานในสหรัฐลดลงสู่ 7.5 % ในเดือนเม.ย. จาก 8.1 % ในเดือนส.ค.2012 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเริ่มต้นโครงการซื้อตราสารหนี้รอบล่าสุด
เจ้าหน้าที่เฟดบางรายเรียกร้องให้เฟดเริ่มต้นชะลอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในเดือนมิ.ย. โดยเฟดจะจัดประชุมกำหนดนโยบายครั้งถัดไปในวันที่ 18-19 มิ.ย.
นายอีแวนส์กล่าวว่า "อีกวิธีการหนึ่งที่ไม่ค่อยได้รับการพูดถึงมากนักคือการที่เฟดยังคงเข้าซื้อตราสารหนี้ต่อไปในอัตรา 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน จนกว่าเฟดจะตัดสินใจได้ว่า มีการปรับตัวในทางบวกมากพอแล้ว และเมื่อถึงเวลานั้นเฟดก็จะยุติโครงการนี้ลงภายในเวลาอันรวดเร็ว"
นายอีแวนส์กล่าวว่า "นั่นหมายความว่าเฟดจะดำเนินโครงการนี้ต่อไป จนถึงฤดูใบไม้ร่วง เพราะคุณจะไม่มีความมั่นใจมากพอในการยุติโครงการนี้ก่อนถึงช่วงดังกล่าว ผมคิดว่าในตอนนี้ประเด็นสำคัญก็คือว่า มีแนวโน้มสูงมากหรือไม่ที่การปรับตัวในทางบวกจะดำเนินต่อไปในช่วงหลายเดือนข้างหน้า"
นายอีแวนส์มีสิทธิลงมติในคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) ในปีนี้ และเขาเป็นผู้ที่มีอิทธิพลในเฟด โดยในปีที่แล้วเฟดได้นำข้อเสนอของเขามาดำเนินการ ซึ่งได้แก่ข้อเสนอที่ให้เฟดคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ระดับใกล้ 0 % ต่อไป จนกว่าอัตราการว่างงานในสหรัฐจะลดลงสู่ 6.5 % และตราบใดที่อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ภายใต้การควบคุม
ประเด็นที่ว่าเฟดจะยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบ 3 (QE3) เมื่อใด และจะยุติ QE3 ด้วยวิธีการใด มีแนวโน้มว่าจะเป็นประเด็นที่ได้รับการหารือกันอย่างจริงจังในการประชุมกำหนดนโยบายของเฟดในเดือนหน้า
นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟด พยายามกล่าวย้ำถึงเรื่องความยืดหยุ่นของเฟดในการเข้าซื้อตราสารหนี้ โดยเขากล่าวว่า เฟดอาจจะปรับเพิ่มขึ้นหรือลดอัตราการดำเนินมาตรการ QE3 เพื่อให้สอดคล้องกับความจำเป็นทางเศรษฐกิจ
ด้านนายอีแวนส์กล่าวว่า เขาเชื่อว่าเฟดไม่มีความจำเป็นต้องชะลอมาตรการเข้าซื้อตราสารหนี้อย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่เขาเปิดรับต่อแนวคิดนี้
นายอีแวนส์กล่าวว่า "ผมจะรับฟังเพื่อนร่วมงานของผมในการประชุมทั้งในการประชุมครั้งหน้า, ครั้งถัดจากนั้น หรือการประชุมในฤดูใบไม้ร่วง โดยสถานการณ์ได้ปรับตัวดีขึ้นบ้างในช่วงที่ผ่านมา"
นายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโก กล่าวในสัปดาห์ที่แล้วว่า เฟดอาจพร้อมที่จะปรับลดมาตรการ QE3 ในฤดูร้อนปีนี้ ตราบใดที่ตลาดการจ้างงานยังคงปรับตัวดีขึ้นต่อไป
นายอีแวนส์กล่าวว่า เขาต้องการ "เวลาเพิ่มเติมอีก" เพื่อจะได้มั่นใจในแนวโน้มตลาดแรงงาน โดยเขากล่าวเสริมว่าเขาต้องการเห็นการจ้างงานเพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่งติดต่อกันหลายเดือน และเห็นเศรษฐกิจโดยรวม
เติบโตเร็วขึ้น
นายอีแวนส์คาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจเติบโต 2.5 % ในปีนี้ และ 3-4 % ในปีหน้า ซึ่งสอดคล้องกับคาดการณ์เดิมของเขาในช่วงต้นปีนี้ ถึงแม้ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐอ่อนแอลงในระยะนี้
นายอีแวนส์กล่าวว่า "ผมมั่นใจว่า ปัจจุบันนี้เรามีนโยบายการเงินที่เหมาะสมเพื่อใช้สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ดังนั้นเราจึงควรเพิ่มแรงหนุนตลอดทั้งปีนี้ และเศรษฐกิจน่าจะเติบโตอย่างยั่งยืนได้ด้วยตัวเองตลอดทั้งปี 2014"
อย่างไรก็ดี นายอีแวนส์กล่าวย้ำว่า การคาดการณ์ของเขาเผชิญความเสี่ยงด้วยเช่นกัน โดยเขากล่าวเสริมว่า "เรายังคงเผชิญกับอุปสรรคที่แข็งแกร่งในสถานการณ์ทางการคลังและในเศรษฐกิจโลก"
นายอีแวนส์กล่าวย้ำมุมมองของเขาที่ว่า ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะกังวลกับอัตราเงินเฟ้อที่ระดับต่ำเกินไป โดยอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐในปัจจุบันอยู่ที่ระดับราวครึ่งหนึ่งของเป้าหมายที่เฟดตั้งไว้ที่ 2 %
นายอีแวนส์กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อน่าจะปรับตัวขึ้นสู่ระดับเป้าหมายของเฟดได้ในอนาคตเมื่อเศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่งขึ้น
อย่างไรก็ดี ถ้าหากอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ ถึงแม้อัตราการว่างงานดิ่งลงสู่ 6.5 % แล้วก็ตาม เฟดก็อาจจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำต่อไป
ทางด้านนายนารายานา โคเชอร์ลาโคทา ประธานเฟดมินนิอาโปลิส เรียกร้องให้เฟดให้สัญญาว่า จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำ จนกว่าอัตราการว่างงานจะลดลงสู่ 5.5 % เพื่อให้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินของเฟด มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นายอีแวนส์กล่าวว่า เขาเข้าใจความเห็นของนายโคเชอร์ลาโคทา แต่เขาไม่มั่นใจว่า การปรับลดเกณฑ์ตัวเลขว่างงานลงไปอีก จะเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น
(ข่าวจากสำนักข่าว รอยเตอร์)
T.Thammasak
นายอีแวนส์กล่าวว่า "เราได้เห็นแล้วว่า แนวโน้มในตลาดแรงงานปรับตัวดีขึ้นเป็นอย่างมาก"
ปัจจุบันนี้เฟดเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและหลักทรัพย์ที่ได้รับการค้ำประกันจากสัญญาจำนอง (MBS) ในอัตรา 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน โดยมีจุดประสงค์เพื่อกดดันต้นทุนการกู้ยืมให้ลดต่ำลง และกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฟดได้ให้สัญญาว่าจะเข้าซื้อตราสารหนี้ต่อไปจนกว่าแนวโน้มในตลาดแรงงานจะปรับตัวดีขึ้นเป็นอย่างมาก
เจ้าหน้าที่เฟดบางรายเรียกร้องให้เฟดปรับลดขนาดการเข้าซื้อตราสารหนี้ เนื่องจากสถานการณ์ด้านการจ้างงานในสหรัฐปรับตัวดีขึ้นแล้ว เมื่อเทียบกับ ในช่วงเริ่มต้นโครงการ โดยปัจจุบันนี้การจ้างงานนอกภาคเกษตรในสหรัฐเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 200,000 ตำแหน่งต่อเดือนในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา และอัตราการว่างงานในสหรัฐลดลงสู่ 7.5 % ในเดือนเม.ย. จาก 8.1 % ในเดือนส.ค.2012 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเริ่มต้นโครงการซื้อตราสารหนี้รอบล่าสุด
เจ้าหน้าที่เฟดบางรายเรียกร้องให้เฟดเริ่มต้นชะลอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในเดือนมิ.ย. โดยเฟดจะจัดประชุมกำหนดนโยบายครั้งถัดไปในวันที่ 18-19 มิ.ย.
นายอีแวนส์กล่าวว่า "อีกวิธีการหนึ่งที่ไม่ค่อยได้รับการพูดถึงมากนักคือการที่เฟดยังคงเข้าซื้อตราสารหนี้ต่อไปในอัตรา 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน จนกว่าเฟดจะตัดสินใจได้ว่า มีการปรับตัวในทางบวกมากพอแล้ว และเมื่อถึงเวลานั้นเฟดก็จะยุติโครงการนี้ลงภายในเวลาอันรวดเร็ว"
นายอีแวนส์กล่าวว่า "นั่นหมายความว่าเฟดจะดำเนินโครงการนี้ต่อไป จนถึงฤดูใบไม้ร่วง เพราะคุณจะไม่มีความมั่นใจมากพอในการยุติโครงการนี้ก่อนถึงช่วงดังกล่าว ผมคิดว่าในตอนนี้ประเด็นสำคัญก็คือว่า มีแนวโน้มสูงมากหรือไม่ที่การปรับตัวในทางบวกจะดำเนินต่อไปในช่วงหลายเดือนข้างหน้า"
นายอีแวนส์มีสิทธิลงมติในคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) ในปีนี้ และเขาเป็นผู้ที่มีอิทธิพลในเฟด โดยในปีที่แล้วเฟดได้นำข้อเสนอของเขามาดำเนินการ ซึ่งได้แก่ข้อเสนอที่ให้เฟดคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ระดับใกล้ 0 % ต่อไป จนกว่าอัตราการว่างงานในสหรัฐจะลดลงสู่ 6.5 % และตราบใดที่อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ภายใต้การควบคุม
ประเด็นที่ว่าเฟดจะยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบ 3 (QE3) เมื่อใด และจะยุติ QE3 ด้วยวิธีการใด มีแนวโน้มว่าจะเป็นประเด็นที่ได้รับการหารือกันอย่างจริงจังในการประชุมกำหนดนโยบายของเฟดในเดือนหน้า
นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟด พยายามกล่าวย้ำถึงเรื่องความยืดหยุ่นของเฟดในการเข้าซื้อตราสารหนี้ โดยเขากล่าวว่า เฟดอาจจะปรับเพิ่มขึ้นหรือลดอัตราการดำเนินมาตรการ QE3 เพื่อให้สอดคล้องกับความจำเป็นทางเศรษฐกิจ
ด้านนายอีแวนส์กล่าวว่า เขาเชื่อว่าเฟดไม่มีความจำเป็นต้องชะลอมาตรการเข้าซื้อตราสารหนี้อย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่เขาเปิดรับต่อแนวคิดนี้
นายอีแวนส์กล่าวว่า "ผมจะรับฟังเพื่อนร่วมงานของผมในการประชุมทั้งในการประชุมครั้งหน้า, ครั้งถัดจากนั้น หรือการประชุมในฤดูใบไม้ร่วง โดยสถานการณ์ได้ปรับตัวดีขึ้นบ้างในช่วงที่ผ่านมา"
นายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโก กล่าวในสัปดาห์ที่แล้วว่า เฟดอาจพร้อมที่จะปรับลดมาตรการ QE3 ในฤดูร้อนปีนี้ ตราบใดที่ตลาดการจ้างงานยังคงปรับตัวดีขึ้นต่อไป
นายอีแวนส์กล่าวว่า เขาต้องการ "เวลาเพิ่มเติมอีก" เพื่อจะได้มั่นใจในแนวโน้มตลาดแรงงาน โดยเขากล่าวเสริมว่าเขาต้องการเห็นการจ้างงานเพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่งติดต่อกันหลายเดือน และเห็นเศรษฐกิจโดยรวม
เติบโตเร็วขึ้น
นายอีแวนส์คาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจเติบโต 2.5 % ในปีนี้ และ 3-4 % ในปีหน้า ซึ่งสอดคล้องกับคาดการณ์เดิมของเขาในช่วงต้นปีนี้ ถึงแม้ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐอ่อนแอลงในระยะนี้
นายอีแวนส์กล่าวว่า "ผมมั่นใจว่า ปัจจุบันนี้เรามีนโยบายการเงินที่เหมาะสมเพื่อใช้สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ดังนั้นเราจึงควรเพิ่มแรงหนุนตลอดทั้งปีนี้ และเศรษฐกิจน่าจะเติบโตอย่างยั่งยืนได้ด้วยตัวเองตลอดทั้งปี 2014"
อย่างไรก็ดี นายอีแวนส์กล่าวย้ำว่า การคาดการณ์ของเขาเผชิญความเสี่ยงด้วยเช่นกัน โดยเขากล่าวเสริมว่า "เรายังคงเผชิญกับอุปสรรคที่แข็งแกร่งในสถานการณ์ทางการคลังและในเศรษฐกิจโลก"
นายอีแวนส์กล่าวย้ำมุมมองของเขาที่ว่า ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะกังวลกับอัตราเงินเฟ้อที่ระดับต่ำเกินไป โดยอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐในปัจจุบันอยู่ที่ระดับราวครึ่งหนึ่งของเป้าหมายที่เฟดตั้งไว้ที่ 2 %
นายอีแวนส์กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อน่าจะปรับตัวขึ้นสู่ระดับเป้าหมายของเฟดได้ในอนาคตเมื่อเศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่งขึ้น
อย่างไรก็ดี ถ้าหากอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ ถึงแม้อัตราการว่างงานดิ่งลงสู่ 6.5 % แล้วก็ตาม เฟดก็อาจจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำต่อไป
ทางด้านนายนารายานา โคเชอร์ลาโคทา ประธานเฟดมินนิอาโปลิส เรียกร้องให้เฟดให้สัญญาว่า จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำ จนกว่าอัตราการว่างงานจะลดลงสู่ 5.5 % เพื่อให้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินของเฟด มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นายอีแวนส์กล่าวว่า เขาเข้าใจความเห็นของนายโคเชอร์ลาโคทา แต่เขาไม่มั่นใจว่า การปรับลดเกณฑ์ตัวเลขว่างงานลงไปอีก จะเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น
(ข่าวจากสำนักข่าว รอยเตอร์)
T.Thammasak