นักวิเคราะห์กองทุนรวม บล.ฟิลลิปแนะจับตาเฟดประชุมในวันที่ 17-18 ธันวาคมนี้ คาดอาจมีการลดมาตรการ QE หลังตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ปรับตัวดีขึ้น
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจากตัวเลขการเติบโตของ GDP ของสหรัฐฯ อยู่ที่ 3.6% ในไตรมาสที่ 3 ซึ่งได้ปรับขึ้นมากกว่าคาดการณ์ไว้ที่ 3.0% รวมถึงตัวเลขการจ้างงานภายนอกภาคเกษตรก็ดูดีขึ้นอย่างมาก ทำให้ทั่วโลกเริ่มจับตาไปที่ธนาคารกลางของสหรัฐฯ ว่าอาจจะมีการปรับลด QE ลงในการประชุม FOMC ในวันที่ 17-18 ธันวาคมนี้ก็เป็นได้ เนื่องจากมีหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าเบน เบอร์นันเก้ อยากให้มีการปรับลด QE ก่อนที่จะพ้นตำแหน่งประธาน FED แต่ด้วยปัจจัยนี้ทำให้เกิดความกังวลระยะสั้นเท่านั้น
เนื่องจากตัวเลขการว่างงาน รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่ยังไม่ถึงเป้าหมาย และถ้าจะมีการปรับลดจริงๆ ด้วยอัตราการว่างงานและเงินเฟ้อที่เพิ่มอยู่ในปัจุบันนี้ก็ทำให้คาดการณ์ได้ว่าจะถึงเป้าหมายที่ FED วางไว้คือน่าจะอยู่ประมาณกลางปีหน้า ซึ่งการปรับลด QE น่าจะอยู่ที่ช่วงเดือนมีนาคมหรือปลายไตรมาสแรกของปี 2014
ทั้งนี้ หลังการประชุมประธาน ECB ลดเป้าอัตราเงินเฟ้อลงเป็น 1.1% จากคาดการณ์เดิมอยู่ที่ 1.3% ในปีนี้แสดงให้เห็นว่ามีการชะลอตัวเล็กน้อยของเศรษฐกิจที่กำลังดีขึ้นทางกลุ่มยูโรโซน ส่วนปี 2558 อัตราเงินเฟ้อเป้าหมายเท่ากับ 1.3% และคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.25%
ขณะเดียวกัน แม้ว่าจะมีความกังวลเรื่องการปรับลด QE และเรื่องปรับเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อของทางฝั่งยุโรปทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกมีการปรับตัวลดลงและผันผวนในช่วงนี้ แต่คาดการณ์ว่าน่าจะดีดตัวกลับมาได้เนื่องจากมีการขายหุ้นออกมามากและถึงแนวรับของตลาดแล้ว
สำหรับมุมมองของญี่ปุ่นนั้นเรามองว่าญี่ปุ่นยังคงดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้มีการอัดฉีดเม็ดเงินเพิ่มขึ้นอีก 18 ล้านล้านเยน โดยที่ไม่ต้องพึ่งจากการออกพันธบัตรเพราะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวแล้วของประเทศญี่ปุ่น
ส่วนเงินทุนนี้จะเข้าไปสู่นโยบายการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การช่วยเหลือสตรี เยาวชน และผู้สูงอายุ การเร่งการฟื้นฟูประเทศจากเหตุภัยพิบัติแผ่นดินไหวและสึนามิ และการสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานสำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกปี 2020 และถ้าดำเนินการใช้จ่ายได้ตรงตามที่คาดจะทำให้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นกลับมาฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง
ในส่วนของตลาดหุ้นไทยนั้นยังคงปรับตัวอยู่ในแดนลบ หลังจากสถานการณ์การเมืองในประเทศไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงได้ในเวลาอันใกล้นี้ ซึ่งส่งผลให้เป็นปัจจัยที่เร่งแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงใกล้จะเป็นช่วงวันหยุดยาวของต่างชาติอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ประเทศญี่ปุ่นได้ประกาศจะพิจารณาการลงทุนในประเทศไทยใหม่อีกครั้งเนื่องจากมีความไม่มั่นคงทางการเมืองเพิ่มมากขึ้น โดยประเทศไทยเป็นอันดับ 3 ในตัวเลือกลงทุนประเทศญี่ปุ่น โดยอันดับที่ 1 และ 2 คืออินโดนีเซีย และอินเดีย