ASTVผู้จัดการรายวัน - “พีทีที โกลบอลฯ” เซ็นสัญญาร่วมทุนด้านการผลิต (JV-HoA) กับเปอร์ตามีน่า บริษัทน้ำมันแห่งชาติอินโดนีเซีย เพื่อร่วมกันศึกษาการลงทุนขั้นสุดท้ายในการสร้างปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ที่อินโดนีเซีย คาดสรุปรายละเอียดโครงการกลางปีหน้า และผลิตเชิงพาณิชย์ได้ปี 2561
นายบวร วงศ์สินอุดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) เปิดเผยว่า วันนี้ (10 ธ.ค.) บริษัทฯ ได้ลงนามร่วมทุนด้านการผลิต (Manufacturing JV-HoA) กับบริษัท พีที เปอร์ตามิน่า ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติของอินโดนีเซีย เพื่อร่วมศึกษาการสร้างโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ระดับโลกในประเทศอินโดนีเซีย อันเป็นความก้าวหน้าต่อเนื่องจากการลงนามเป็นพันธมิตรในการศึกษาความเป็นไปได้เบื้องต้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการลงนาม HoA เมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา
การลงนามร่วมทุนด้านการผลิตในครั้งนี้ (JV-HOA) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เกิดหลักการกิจการร่วมค้าที่ได้ตกลงกันและขอบเขตการลงทุน พร้อมทั้งช่วยให้ทั้งสองฝ่ายสามารถสรุปรายละเอียดโครงการภายในต้นปี 2557 ก่อนที่จะมีการศึกษารายละเอียดความเป็นไปได้ของ bankable และ Front End Engineering design (FEED) ซึ่งเปอร์ตามิน่าและบริษัทฯ ได้บรรลุความเข้าใจร่วมของโครงการ รวมถึงเป้าหมายและวัตถุประสงค์ รูปแบบการลงทุนที่ได้ประโยชน์และมีศักยภาพแข่งขันได้ และทำเลที่เหมาะสม รวมทั้งความแข็งแกร่งของทั้งสองบริษัทที่จะเพิ่มพูนศักยภาพในการแข่งขันของโครงการร่วมทุน โดยจะนำไปสู่การตัดสินใจในการลงทุนขั้นสุดท้ายที่กำหนดไว้ในปี 2558
“นับตั้งแต่การลงนามความร่วมมือ HoA เมื่อวันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา เราได้ร่วมกันศึกษาความเป็นไปได้ของการลงทุนโครงการในเบื้องต้น ซึ่งปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ มูลค่าโครงการประมาณ 4-5 พันล้านเหรียญสหรัฐที่จะจัดสร้าง ประกอบด้วย โรงแครกเกอร์ ที่มีกำลังการผลิตระดับโลกเชื่อมโยงถึงธุรกิจปิโตรเคมีขั้นปลายน้ำ ในขั้นตอนต่อจากนี้เราจะร่วมกันศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องในรายละเอียดมากขึ้น รวมทั้งการเลือกสถานที่ตั้งปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ เพื่อสร้างความได้เปรียบในทางเศรษฐกิจ และการแข่งขัน โดย PTTGC มีความเชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ทางเปอร์ตามีน่าก็มีความเข้มแข็งในการเข้าถึงลูกค้าและตลาดภายในประเทศ จึงเป็นคู่พันธมิตรทางธุรกิจที่เกื้อหนุน ส่งเสริมกัน และสามารถนำมาซึ่งความสำเร็จ และการลงทุนที่มีศักยภาพ” นายบวรกล่าว
ทั้งนี้ ทาง PTTGC และเปอร์ตามีน่ามีเป้าหมายในการศึกษารายละเอียดโครงการลงทุนปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ให้ได้ผลสรุปภายในไตรมาสที่ 2/2557 เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการแล้วเสร็จในปี 2561 โดยทั้ง 2 บริษัทมีกำหนดลงนามร่วมทุนในด้าน Marketing และ Trading สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์พอลิเมอร์ เพื่อทำการตลาดและจำหน่ายในประเทศอินโดนีเซียในเร็วๆ นี้
นายบวรกล่าวต่อไปว่า มูลค่าตลาดปิโตรเคมีของอินโดนีเซีย คาดการณ์ว่าจะเพิ่มสูงถึง 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐในปี 2561 รวมทั้งได้ตั้งเป้าหมายครองส่วนแบ่งตลาด (Market share) สัดส่วนร้อยละ 30 หลังการสร้างปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2561 เนื่องจากในปัจจุบันนี้กำลังการผลิตของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในอินโดนีเซียยังคงไม่เพียงพอต่อความต้องการในอุตสาหกรรม ทำให้ต้องนำเข้าจากต่างประเทศคิดเป็นมูลค่าถึงปีละ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ
นางคาเรน อากัสเทียวัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีที เปอร์ตามิน่า กล่าวว่า การลงนามสัญญาในครั้งนี้เป็นการยืนยันความมุ่งมั่นของเปอร์ตามีน่าที่จะร่วมมือกับ PTTGC เพื่อการร่วมลงทุนโครงการปิโตรเคมี อันมีความสำคัญต่อการพัฒนาธุรกิจปิโตรเคมีปลายน้ำในประเทศอินโดนีเซีย โดยเปอร์ตามีน่ามีความพร้อมทั้งด้านวัตถุดิบ ทำเลสถานที่ที่เหมาะสมในการตั้งโรงงาน อันจะทำให้การลงทุนโครงการมีศักยภาพการแข่งขัน และมีประสิทธิภาพ โดยเราจะร่วมกันสร้าง Flagship ปิโตรเคมีของอินโดนีเซียให้เกิดขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทน้ำมันแห่งชาติอินโดนีเซีย “พีที เปอร์ตามีน่า” มีโรงกลั่นน้ำมัน 5 โรง คิดเป็นกำลังการกลั่นประมาณ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน นับเป็นธุรกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 5 ในเอเชีย ด้วยศักยภาพอันแข็งแกร่งในธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นนี้จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มในทรัพยากรธรรมชาติของอินโดนีเซีย