ASTVผู้จัดการรายวัน - พีทีที โกลบอลฯ ยันปัญหาการเมืองไทยไม่กระทบแผนลงทุนต่างประเทศ เตรียมเซ็นสัญญาร่วมทุนกับพีที เปอร์ตามิน่า 10 ธ.ค.นี้ ตั้งเป้าปีหน้าบริษัทฯ มี EBITDA โต 10%จากปีนี้ หลังแนวโน้มราคาปิโตรเคมีขยับเพิ่มขึ้น
นายบวร วงศ์สินอุดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) เปิดเผยว่า ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อแผนการลงทุนต่างประเทศของบริษัทฯ โดยวันที่ 10 ธ.ค.นี้ จะลงนามสัญญาร่วมทุน (Joint Venture Agreement) กับ พีที เปอร์ตามิน่า บริษัทน้ำมันแห่งชาติของอินโดนีเซีย จำนวน 1-2 ฉบับ ทั้งด้านการลงทุนตั้งโรงงานผลิตโอเลฟินส์และดาวน์สตรีม การทำตลาดร่วมกัน โดยจะยังไม่มีการดึงพันธมิตรรายใหม่เข้ามาลงนามสัญญาในครั้งนี้
โครงการร่วมทุนกับพีที เปอร์ตามิน่านี้จะเป็นการลงทุนสร้างโรงงานปิโตรเคมีทั้งต้นน้ำและปลายน้ำในประเทศอินโดนีเซีย เงินลงทุนรวม 4-5 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยเน้นผลิตเม็ดพลาสติกเพื่อรองรับความต้องการใช้ภายในประเทศ เนื่องจากอินโดนีเซียยังต้องนำเข้าเม็ดพลาสติกคิดเป็น 40% ของความต้องการใช้ทั้งหมด ส่วนการหาพันธมิตรใหม่เข้าเสริมเพื่อลดความเสี่ยงการลงทุนนั้น ขณะนี้มีบริษัทต่างชาติทั้งญี่ปุ่นและเกาหลีสนใจเข้าร่วมทุนโครงการดังกล่าว
ส่วนโครงการร่วมทุนกับบริษัท ซิโนเคม อินเตอร์เนชั่นแนล ของประเทศจีน เพื่อร่วมกันศึกษาโอกาสความร่วมมือการขยายธุรกิจปิโตรเคมี โดยการตั้งโรงงานผลิตโพลียูรีเทนและโพลีคาร์บอเนตในจีน คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปลายปี 2556 ขณะที่โครงการร่วมทุนกับปิโตรนาส ประเทศมาเลเซียเพื่อตั้งโรงงานผลิตโพลีคาร์บอเนตและโรงงานผลิตโพลีออลนั้น คงต้องล่าช้าออกไป เนื่องจากติดปัญหาด้านระบบสาธารณูปโภคที่ต้องสร้างใหม่หมด
นายปฏิภาณ สุคนธมาน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีหน้าบริษัทฯ คาดว่าจะมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและภาษี (EBITDA) เติบโตขึ้น 10% จากปีนี้ เนื่องจากรับรู้รายได้จากโครงการเพิ่มการผลิตบิวทาไดอีนและบิวทีน -1 ขนาด 1 แสนตัน/ปี และโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ทำให้มี EBITDA เพิ่มขึ้นอีก 110 ล้านเหรียญสหรัฐ และราคาโอเลฟินส์ที่ปรับตัวสูงขึ้น
ทั้งนี้ แนวโน้มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีโลกในปีหน้าเข้าสู่วัฏจักรขาขึ้น โดยล่าสุดราคาเม็ดพลาสติก HDPE ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 1,530 เหรียญสหรัฐ/ตัน สูงขึ้นจากช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ที่ราคาเฉลี่ย 1,480 เหรียญสหรัฐ/ตัน ขณะที่อะโรเมติกส์โดยเฉพาะราคาพาราไซลีนคาดว่าจะอ่อนตัวลงเล็กน้อยจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยสเปรดอยู่ที่ 500 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนเบนซีนน่าจะยังดี โดยสเปรดอยู่ที่ 350-360 เหรียญสหรัฐ/ตัน
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2556 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิดีกว่าไตรมาส 3/2556 เนื่องจากการใช้กำลังการผลิตโรงโอเลฟินส์เพิ่มขึ้นจาก 75% เป็น 90% และการใช้กำลังการกลั่นของโรงกลั่นน้ำมันและโรงอะโรเมติกส์ยังมีอัตราที่สูงถึง 90% ใกล้เคียงจากไตรมาส 3/2556 และโรงแยกก๊าซฯ หน่วยที่ 5 เดินเครื่องได้ 50% ทำให้ผลกระทบต่อกำไรลดลงเหลือเพียง 200 ล้านบาท/เดือน