xs
xsm
sm
md
lg

PTTGC ลุ้นราคาเม็ดพลาสติกดี ดันกำไรไม่ทรุดหลังเจอปัจจัยลบเพียบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการรายวัน - พีทีที โกลบอลฯ ลุ้นราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีดียันสิ้นปีหวังไม่ให้กำไรสุทธิทรุด หลังเจอปัจจัยลบฉุดกำไรลง ทั้งการหยุดซ่อมโรงแยกฯ 5 ของ ปตท. การปิดซ่อมโรงเม็ด LDPE และท่อน้ำมันรั่วในทะเล ฟุ้งนักลงทุนต่างชาติเข้าใจดีและมองระยะยาวยังกอดหุ้นแน่นไม่ปล่อย ส่งผลให้ราคาหุ้น PTTGC ไม่ผันผวนมากนักในช่วงตลาดหุ้นขาลง

นายฐิติพงษ์ จุลพรศิริดี ผู้จัดการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) เปิดเผยว่า แนวโน้มราคาปิโตรเคมีในครึ่งปีหลังนี้ยังดีต่อเนื่องจากครึ่งปีสอดคล้องราคาน้ำมันดิบดูไบในครึ่งปีหลังนี้ที่คาดว่าจะทรงตัวในระดับสูงขึ้นไปจนถึงสิ้นปีนี้มีราคาเฉลี่ย 103-106 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าทั้งปีบริษัทฯ จะมีกำไรสุทธิเติบโตขึ้นกว่าปีก่อนมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับราคาผลิตภัณฑ์พลาสติกในช่วงนี้ หลังจากมีปัจจัยลบที่กระทบต่อกำไรสุทธิ ทั้งการหยุดโรงแยกก๊าซฯ หน่วยที่ 5 ของ ปตท. ทำให้โรงโอเลฟินส์ต้องลดกำลังการผลิตลงจาก 95% เหลือ 85%ของกำลังผลิต กระทบกำไรบริษัทลดลงเดือนละ 400 ล้านบาท การหยุดซ่อมโรงงานผลิตเม็ดพลาสติก LDPE ทำให้กำไรลดลง 2% ของกำไรรวม และการเกิดอุบัติเหตุท่อรับส่งน้ำมันดิบรั่วในทะเล ทำให้บริษัทฯ ตั้งงบค่าใช้จ่ายในการกำจัดคราบน้ำมัน เยียวยาและฟื้นฟูประมาณ 1 พันล้านบาท เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้มีโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต พัฒนาผลิตภัณฑ์และขยายกำลังการผลิตคอขวด ทำให้บริษัทฯ มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและภาษี (EBITDA) ในปีนี้เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากการดำเนินงาน 177 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะมาช่วยเสริมกำไรของบริษัทฯ ในปีนี้

“แนวโน้มส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์พาราไซลีนกับวัตถุดิบ (สเปรด) จะอ่อนตัวลงจากครึ่งปีแรกอยู่ที่ 500 เหรียญสหรัฐ/ตัน แต่สเปรดเบนซีนคาดว่ายังคงสูงอยู่ที่ 300-350 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนราคาเม็ดพลาสติก HDPE ล่าสุดอยู่ที่ 1,480 เหรียญสหรัฐ/ตัน สเปรดอยู่ที่ 540-550 เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งถือว่าราคาผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์และอะโรเมติกส์ดีกว่าที่คาดหมายไว้ ซึ่งปกติครึ่งปีหลังทิศทางราคาปิโตรเคมีจะดีกว่าครึ่งปีแรก”

ส่วนการเรียกร้องค่าสินไหมจากอุบัติเหตุท่อรับส่งน้ำมันดิบรั่วดังกล่าว บริษัทได้ตั้งทีมกฎหมายร่วมกับที่ปรึกษาบริษัทประกันภัยเพื่อดำเนินการประเมินและเรียกค่าสินไหม โดยบริษัทฯ ได้ทำประกันภัยในวงเงิน 50 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะดำเนินการเคลมประกันภัยได้ในปีหน้า

นายธิติพงษ์กล่าวต่อไปว่า จากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นพบว่านักลงทุนและสถาบันต่างประเทศไม่ได้ลดการถือครองหุ้น PTTGC ลงเลยแม้ว่าตลาดหุ้นมีการเทขายหุ้นออกมาก โดยล่าสุดนักลงทุนต่างชาติถือหุ้นอยู่ 32.9% ของหุ้นทั้งหมด ทำให้ราคาหุ้น PTTGC ไม่ได้ปรับลดลงมากนักเนื่องจากนักลงทุนต่างชาติมีความมั่นใจการดำเนินงานของบริษัทฯ และอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 4% มีทิศทางการดำเนินธุรกิจที่ชัดเจนในระยะยาว ส่วนปัจจัยลบที่เกิดขึ้นเป็นเพียงระยะสั้น โดยก่อนหน้านี้นักลงทุนต่างชาติเคยถือหุ้น PTTGC ต่ำกว่า 30% จำนวนหุ้นทั้งหมด

ส่วนความคืบหน้าการลงทุนในต่างประเทศนั้น คาดว่าจะมีการลงนามสัญญาร่วมทุนกับเปอร์ตามีนา รัฐวิสาหกิจของอินโดนีเซียได้ในปลายปีนี้ เพื่อลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่อินโดนีเซีย คาดว่าจะผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2560 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการหาพันธมิตรใหม่เน้นด้านเทคโนโลยีและการตลาด ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของ PTTGC ในโครงการนี้ลดลงจากเดิมที่ถือหุ้นอยู่ 49% สำหรับการลงนามสัญญาร่วมลงทุนโครงการปิโตรเคมีขั้นปลายกับปิโตรนาสของมาเลเซียนั้นคงต้องดีเลย์ออกไปเป็นปีหน้าแทน หลังจากปิโตรนาสเลื่อนโครงการออกไป 1 ปี

ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกปี 2556 บริษัทฯ มีรายได้รวม 2.53 แสนล้านบาท และกำไรสุทธิ 1.6 หมื่นล้านบาท เทียบกับทั้งปี 2555 บริษัทฯ มีรายได้รวม 5.72 แสนล้านบาท และกำไรสุทธิ 3.4 หมื่นล้านบาท
กำลังโหลดความคิดเห็น