เอกชนไม่หวั่นม็อบการเมืองยุคนี้ ชี้เป็นม็อบมิติใหม่ไม่รุนแรง มั่นใจเหตุการณ์ไม่บานปลาย แต่ห่วงกำลังซื้อที่ลดลงและการส่งออกที่ลดลงมากกว่าปัญหาการเมืองในประเทศ ยอดขายหลายรายยังเติบโตต่อเนื่อง
จากกรณีที่มีการชุมนุมทางการเมืองหรือม็อบที่เกิดขึ้นหลายกลุ่มเพื่อคัดค้านกรณี พ.ร.บ.นิรโทษกรรม รวมทั้งประเด็นอื่นเพื่อขับไล่รัฐบาลจากการบริหารงานที่ไม่ชอบธรรมนั้น นักธุรกิจหลายรายต่างให้ความเห็นที่น่าสนใจ
*** “ตี๋ เอนเตอร์เทนเม้นท์” ชี้ม็อบไม่หนักใจ
นายสมชาย ชีวสุทธานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ตี๋ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทยังคงพร้อมเดินหน้าดำเนินธุรกิจตามแผนที่วางไว้ ซึ่งเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นไม่ได้หวั่นใจนัก เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยก็ประสบกับเหตุการณ์ทางการเมืองหลายครั้ง ครั้งนี้จึงไม่ใช่เรื่องน่าหนักใจและคงไม่รุนแรงไปกว่าครั้งที่ผ่านมาๆ บวกกับกลุ่มเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจเป็นคนละกลุ่มกับที่ชุมนุม
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนต์อย่างอีเวนต์และคอนเสิร์ตในปีนี้เชื่อว่าจะทรงตัวเท่าปีก่อน โดยเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นมีผลกระทบต่อธุรกิจนี้เช่นกันในภาพรวม ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณตั้งแต่ปลายไตรมาสสามและไตรมาสสี่นี้ว่ามีหลายงานที่ลูกค้ายกเลิกงานออกไปแบบไม่มีกำหนด สปอนเซอร์ใช้โอกาสนี้ในการถอนตัวออกไป โดยจะรอดูสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของดิจิตอลทีวีในปีหน้า เพื่อกำหนดเม็ดเงินสำหรับการใช้สื่อในปีต่อไปด้วย
*** “เอ็มเคสุกี้” ไม่หวั่น
นายฤทธิ์ ธีระโกเมน ประธานบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มองว่าการมีม็อบต่างๆ ผลเสียอาจจะเป็นในแง่ของอารมณ์ของผู้บริโภคมากกว่าที่จะต้องจับจ่ายระมัดระวังมากขึ้น แต่ไม่อยากให้มองว่าความขัดแย้งทางการเมืองหรือม็อบเป็นเรื่องซีเรียสที่จะมากระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจเท่าใดนัก เพราะธุรกิจก็ยังคงต้องดำเนินต่อไปได้ เพราะประเทศไทยเราก็ผ่านวิกฤตการณ์ต่างๆมามากมายแล้ว ทั้งเรื่องน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 สาขาของเราก็โดนน้ำท่วมมากกว่า 50 แห่ง หรือวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 หรือความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงเมื่อปี 2553
บริษัทฯ ไม่ได้มีการวางแผนสำรองไว้แต่อย่างใด เพราะไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์อะไรรุนแรง ทุกอย่างคงเดินหน้าปกติ ปีนี้เราก็เปิดสาขามากกว่า 50 แห่ง ปีหน้าก็เปิดประมาณเท่านี้ แต่ปีนี้มีเลื่อนสาขาใหม่ประมาณ 4-5 สาขา เพราะศูนย์การค้าไม่พร้อม ไม่ใช่เลื่อนเพราะเรากลัวปัญหาการเมืองแต่อย่างใด ผมคิดว่าปีหน้าเศรษฐกิจรวมน่าจะดีกว่าปีนี้ด้วยซ้ำไป และปีหน้าเราจะเริ่มเจรจาเทกโอเวอร์ธุรกิจแล้วตอนนี้คุยอยู่ 2-3 ราย
แม้ว่าตอนนี้ทราฟฟิกคนเข้าร้านจะน้อยลงเล็กน้อย แต่ในแง่ของค่าใช้จ่ายต่อคนยังคงเดิมเฉลี่ย 240 บาทต่อคน และไตรมาสที่สามผลประกอบการก็ยังดี ตอนนี้เราก็มีการทำโปรโมชันของเราเอง และล่าสุดร่วมกับเทสโก้โลตัสทำแคมเปญ “รวมพลังร่วมใจ ช่วยคนไทยลดค่าครองชีพ” ซึ่งปกติเราตั้งเป้าหมายยอดขายเติบโตเฉลี่ย 10% อยู่แล้ว ปีนี้คาดว่าจะมีประมาณ 13,000 ล้านบาท ส่วนกำไรปีนี้อาจจะเท่ากับปีที่แล้วหรือใกล้เคียงกันที่ 2,800-2,900 ล้านบาท
*** “พรานทะเล” ชี้เป็นม็อบมิติใหม่
นายอนุรัตน์ โค้วคาสัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรานทะเล มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การชุมนุมทางการเมืองครั้งนี้ถือเป็นมิติใหม่เพราะไม่มีความรุนแรง อีกทั้งท่าทีของฝ่ายรัฐบาลก็มีความอะลุ้มอล่วย แต่บริษัทฯ มองว่าสิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่าการเมืองคือ กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลงมากกว่า 10-20% จากปัญหาเรื่องค่าครองชีพที่สูงขึ้น
อีกปัจจัยที่น่าเป็นห่วงคือเรื่องของการส่งออก เพราะมีสัดส่วนมากกว่า 70% ของจีดีพีของประเทศ ซึ่งต้องรอดูว่าปีหน้าจีดีพีของไทยจะเติบโตเท่าใด ประมาณ 5-10% ได้หรือไม่ ถ้าได้ก็จะทำให้สถานการณ์ประเทศกลับมาดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม พรานทะเลได้ปรับกลยุทธ์ธุรกิจเพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงตัวสินค้าง่ายขึ้น ด้วยการลดราคาเป็นโปรโมชันก่อนหน้านี้ และล่าสุดได้ร่วมมือกับทางเทสโก้โลตัสจัดแคมเปญ “รวมพลังร่วมใจ ช่วยคนไทยลดค่าครองชีพ” ถึงต้นปีหน้า ด้วยการนำสินค้าที่ได้รับความนิยมอย่างข้าวต้ม ขายราคา 3 กล่อง 100 บาท ที่เทสโก้โลตัสเพื่อเจาะลูกค้าที่ไม่เคยบริโภคข้าวต้มพรานทะเลได้เข้าถึงสินค้าได้ง่ายขึ้น และคาดว่าช่วง 2 เดือนนี้ปริมาณการขายจะเพิ่มขึ้น 20-30% แต่ยอดขายยังคงทรงตัว เพราะเป็นสินค้าที่ลดราคา
ทั้งนี้ ยอดขายเดือนตุลาคมยังคงปกติ และยอดขาย 3 ไตรมาสแรกเป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งปีนี้ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 10-15% เช่นเดิม หรือมียอดขาย 1,350 ล้านบาท ส่วนยอดการส่งออกภายใต้บริษัท ยูเนี่ยนโฟรเซ่นโพรดัคส์ จำกัด มียอดขาย 6 พันล้านบาท
*** “คาโอ” ตลาดท้าทายทุกปี
นายโคโซ ไซโต ประธานกรรมการบริษัท คาโอ คอมเมอร์เชียล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า การทำธุรกิจในประเทศไทยกล่าวได้ว่ามีความท้าทายเกิดขึ้นในตลาดทุกปี สำหรับปีนี้บริษัทฯ ก็ยังพอใจกับผลประกอบการช่วงที่ผ่านมา 9 เดือนแรกกับสภาพสถานการณ์แบบนี้ โดยเติบโตกว่า 11% มากกว่าเป้าหมายเดิมที่วางไว้ประมาณ 4% ซึ่งสวนกระแสกับสภาพเศรษฐกิจ เนื่องจากมีการจัดกิจกรรมการตลาดและเปิดตัวสินค้าใหม่ต่อเนื่อง เช่น น้ำยาซักผ้าแอทแทคชนิดเข้มเข้น ที่ประสบความสำเร็จมาก ส่วนสินค้าอื่นๆ ที่วางตลาดก็ได้รับผลตอบรับที่ดี เช่น ผ้าอนามัย ลอรีเอะ และช่วงสิ้นปีนี้ก็จะวางตลาดสินค้าใหม่ เช่น เฟเชียลโฟม ในกลุ่มบิวตี้ แฮร์แคร์ และนับจากนี้จะให้ความสำคัญต่อสินค้าที่เป็นจุดแข็งคือ แฮร์แคร์ เมกอัพ ยูวีแคร์
นายจอห์น คริสตี้ ประธานกรรมการบริหาร เทสโก้โลตัส ประเทศไทย กล่าวว่า ได้ร่วมมือกับพันธมิตร 9 รายคือ ยูนิลีเวอร์ จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน คาโอ เนสท์เล่ พรานทะเล เอ็มเคสุกี้ เคเอฟซี ทรูมูฟ และเดลินิวส์ จัดแคมเปญ “รวมพลังร่วมใจ ช่วยคนไทยลดค่าครองชีพ” 14 พ.ย.-31 ธ.ค. 56 และปีหน้าด้วย ด้วยการนำสินค้ามาลดราคาพิเศษเพื่อช่วยเหลือผู้บริโภคในภาวะที่ค่าครองชีพสูงขึ้น