“เทสโก้ โลตัส” ย้ำไทยยังเป็นฐานยุทธศาสตร์สำคัญในการดำเนินธุรกิจ เดินหน้าขยาย 50 สาขา “เอ็กซ์เพรส” พร้อม 5 สาขาขนาดใหญ่ทั่วประเทศและขยายธุรกิจออนไลน์ร่วมกับ “ลาซาด้า” รับเทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่ เผยปี 58 ใช้งบลงทุนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ร่วม 600 ล้านบาท เดินหน้าแคมเปญ “โรลแบ็ค” ลดราคาสินค้าช่วยเหลือคนไทยในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
นายจอห์น คริสตี้ ประธานกรรมการบริหาร “เทสโก้ โลตัส” เปิดเผยว่า ประเทศไทยยังคงเป็นตลาดยุทธศาสตร์สำคัญของกลุ่มเทสโก้ที่มีโอกาสในการเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาการดำเนินงานกว่า 20 ปีที่ผ่านมา จนปัจจุบัน “เทสโก้ โลตัส” มีร้านค้าประมาณ 1.8 พันสาขาทั่วประเทศใน 5 รูปแบบ คือ ดีพาร์ตเมนต์สโตร์, ไฮเปอร์มาร์เกต, เอ็กซ์ตรา, ตลาด และเอ็กซ์เพรส ซึ่งมีจำนวนมากที่สุดประมาณ 1.4 พันสาขา
ในปี 2558-2559 “กลุ่มเทสโก้” จะยังคงลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างการเติบโตของธุรกิจด้วยการขยายสาขาขนาดใหญ่ 5 แห่งกระจายทั่วทุกภาคของประเทศไทยเพื่อให้บริการลูกค้าที่อยู่ในหัวเมืองต่างจังหวัดที่กำลังเติบโต เช่น สุรินทร์, นครศรีธรรมราช เป็นต้น พร้อมกันนั้นยังจะเปิดร้าน “เทสโก้ โลตัส เอ็กซ์เพรส” อีกประมาณ 50 สาขา เพื่อรองรับพฤติกรรมของลูกค้าที่เริ่มนิยมจับจ่ายซื้อสินค้าใกล้บ้านมากขึ้น โดยส่วนใหญ่ 80% จะเป็นการเปิดในต่างจังหวัดทั่วทุกภาค ส่วนอีก 20% จะเปิดในกรุงเทพฯ
นอกจากนี้ ยังจะมีการปรับพื้นที่ในสาขาเดิมให้ตอบรับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่เปลี่ยนไป รวมทั้งจะยกระดับพื้นที่ร้านค้าเช่าของให้เป็นแหล่งชอปปิ้งมอลล์สำหรับครอบครัวเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างครอบคลุมทั้งร้านอาหาร แฟชั่น บันเทิง และอื่นๆ
นายจอห์น คริสตี้ กล่าวด้วยว่า “เทสโก้ โลตัส” ถือเป็นธุรกิจค้าปลีกรายแรกที่จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคและอาหารสดผ่านทางออนไลน์กว่า 2 หมื่นรายการ จึงยังคงมีการขยายธุรกิจชอปปิ้งออนไลน์ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยได้ลงทุนและมีสินค้าของ “เทสโก้ โลตัส” กว่า 5 พันรายการจำหน่ายบนเว็บไซต์ของลาซาด้าซึ่งถือเป็นอีคอมเมิร์ซชั้นนำของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ล่าสุดยังได้ลงทุนถึง 2.5 พันล้านบาทในการพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าชั้นแนวหน้าที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ขนาด 5.2 หมื่นตารางเมตร เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจและให้บริการลูกค้าในภาคใต้ให้ดียิ่งขึ้น พร้อมกับทำให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่อีกเกือบ 700 อัตรา
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา “เทสโก้ โลตัส” ได้ลงทุนมหาศาลเพื่อช่วยให้ผู้บริโภคชาวไทยได้ประหยัดค่าครองชีพ โดยเฉพาะการลงทุนในแคมเปญตัดราคา “โรลแบ็ค” เป็นมูลค่ารวมกว่า 4 พันล้านบาทซึ่งยังคงดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2558 ได้ตั้งงบลงทุนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 600 ล้านบาทเพื่อตัดราคาสินค้า ทั้งอาหารสด สินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าจำเป็นสำหรับครัวเรือนให้มีราคาต่ำสุดเท่าที่เคยขายมา เพื่อแบ่งเบาภาระของผู้บริโภคที่ต้องเผชิญกับความท้าทายของภาวะเศรษฐกิจ
“เรามั่นใจว่าแผนการลงทุนนี้จะสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจของเทสโก้ โลตัส ในฐานะผู้นำตลาดค้าปลีกสมัยใหม่ ขณะเดียวกันเราจะยังคงเดินหน้าพัฒนาธุรกิจของคู่ค้าผู้ประกอบการชาวไทยให้เติบโตไปด้วยกัน เพื่อช่วยลดค่าครองชีพให้ผู้บริโภคชาวไทยอย่างทั่วถึง” นายจอห์น คริสตี้ กล่าวในตอนท้าย
อนึ่ง ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา เอเอฟพี/รอยเตอร์ รายงานว่า “กลุ่มเทสโก้” ห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่สัญชาติสหราชอาณาจักรที่ครองตลาดมายาวนานหลายทศวรรษ เปิดเผยถึงผลประกอบการประจำปีว่า ขาดทุนถึง 6.4 พันล้านปอนด์ (ประมาณ 3.1 แสนล้านบาท) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตัวเลขขาดทุนสูงสุดในประวัติศาสตร์ 96 ปีของบริษัทฯ ที่ต้องเผชิญกับมลทินจากกรณีอื้อฉาวตกแต่งบัญชี
รายงานข่าวแจ้งว่า การขาดทุนดังกล่าวเป็นผลมาจากการดำเนินงานในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นยอดขายที่ตกต่ำ, การขาดทุนของกองทุนบำเหน็จบำนาญที่พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ, สินทรัพย์อสังหาริมทรัพย์ลดลง, ค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างที่แทรกเข้ามา และจำนวนเงินที่ต้องจ่ายเพื่อโปะผลกำไรเกินจริง โดยก่อนหน้านี้ต้องปรับลดมูลค่าธุรกิจลง 7 พันล้านปอนด์ (ประมาณ 3.4 แสนล้านบาท) หลังจากได้รับผลกระทบจากสงครามราคาในอุตสาหกรรมค้าปลีกอันเป็นผลมาจากการดำเนินงานของเครือข่ายค้าปลีก “อัลดี” และ “ลิดล์” จากประเทศเยอรมนี
ทั้งนี้ เมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านี้ “กลุ่มเทสโก้” มีผลกำไรก่อนหักภาษี 2.26 พันล้านปอนด์ (ประมาณ 1.1 แสนล้านบาท)