xs
xsm
sm
md
lg

นักวิเคราะห์ชี้หมดยุคธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทอง หลังหนุนราคาดีดตัว 12 ปี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

        ธนาคารกลางของประเทศต่างๆทั่วโลกเคยมีบทบาทสำคัญในการทำให้ ราคาทองพุ่งขึ้นอย่างมากในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ธนาคารกลางเหล่านี้กำลังลดความต้องการลงทุนในทอง ขณะที่กำลังซื้อของประเทศตลาดเกิดใหม่ลดลง และการที่ราคาทองดิ่งลงก็อาจส่งผลให้ธนาคารกลางชะลอการซื้อทองต่อไปอีก
        ธนาคารกลางทั่วโลกเคยขายทองออกมาเป็นจำนวนมากเป็นเวลาราว 20 ปี ซึ่งรวมถึงการที่อังกฤษขายทอง 395 ตันในปี 1999-2002 ขณะที่ราคาทองอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 20 ปีในช่วงนั้น
        ธนาคารกลางขายทองสุทธิ 235 ตันในปี 2008 และ 34 ตันในปี 2009 ก่อนจะเปลี่ยนสถานะมาเป็นผู้ซื้อทองสุทธิ 77 ตันในปี 2010 ยอดซื้อทองสุทธิของธนาคารกลางพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 48ปี ที่ 534.6 ตันในปี 2012 แต่สภาทองคำโลกคาดว่า ยอดซื้อดังกล่าวอาจร่วงลงสู่ 400 ตันในปีนี้
        นางนาตาลี เดมป์สเตอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการภาครัฐของ WGC กล่าวว่า "คาดกันว่าอุปสงค์ทองจะอ่อนตัวลงไปอีกในไตรมาส 2  โดยเป็นผลจากความอ่อนแอของสกุลเงินในประเทศตลาดเกิดใหม่และเป็นผลจากการที่ประเทศต่างๆเข้ามาแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตรามากยิ่งขึ้น"
        ธนาคารโซซิเอเต้ เจเนอราลของฝรั่งเศสคาดว่า อัตราการซื้อทองอาจร่วงลงต่อไปสู่ระดับราว 300 ตันในปีหน้า โดยเป็นผลจากการที่ราคาทองอยู่ในระดับต่ำหลังจากดิ่งลงอย่างรุนแรงในเดือนเม.ย.ปีนี้ และเป็นผลจากการที่ธนาคารกลางมีเหตุผลน้อยลงในการกระจายทุนสำรองออกจากดอลลาร์
        นายโรบิน บาร์ นักวิเคราะห์ของโซซิเอเต้ เจเนอราล กล่าวว่า "ทุกคนยอมรับว่าดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้น ดังนั้นธนาคารกลางจึงไม่ต้องการกระจายทุนสำรองอีกต่อไป ถ้าหากธนาคารกลางได้กระจายทุนสำรองออกจากดอลลาร์ไปแล้วในช่วงก่อนหน้านี้"
        ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เคยอัดฉีดเงินทุนดอกเบี้ยต่ำจำนวนหลายล้านล้านดอลลาร์เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา และส่งผลให้ประเทศตลาดเกิดใหม่หลายแห่งดำเนินมาตรการดูดซับเม็ดเงินต่างชาติที่ไหลเข้าประเทศ เพื่อจะได้ทำให้สกุลเงินของประเทศตนเองยังคงมีความสามารถทางการแข่งขันต่อไป 
        อย่างไรก็ดี ประเทศตลาดเกิดใหม่ชะลอการสะสมสกุลเงินต่างชาติ ในระยะนี้ หลังจากเฟดส่งสัญญาณว่า เฟดพร้อมจะปรับลดขนาดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบ 3 (QE3) หรือมาตรการเข้าซื้อตราสารหนี้ ในอัตรา 8.5หมื่ืนล้านดอลลาร์ต่อเดือนในเดือนก.ย.
        นายแมทธิวเทอร์เนอร์ นักวิเคราะห์ของธนาคารแมคควารี กล่าวว่า "หลายประเทศ เช่น ตุรกีและบราซิล ขายดอลลาร์ในตลาดในระยะนี้เพื่อปกป้องสกุลเงินของตน อย่างไรก็ดี เนื่องจากดอลลาร์กำลังแข็งค่าขึ้นใน ระยะนี้ ดังนั้นประเทศตลาดเกิดใหม่จึงมีเงินเหลือน้อยลงสำหรับใช้ซื้อทอง  และประเทศตลาดเกิดใหม่ก็ลดความต้องการซื้อทองลงด้วย เพราะทองไม่ได้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตรา"
        ประเทศตลาดเกิดใหม่เคยเข้าซื้อทองนับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินในปี 2008 ซึ่งเป็นช่วงที่เฟดเริ่มต้นดำเนินมาตรการ QE รอบแรกเพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
        อย่างไรก็ดี การคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะยุติ QE ในอนาคตได้ส่งผลกระทบต่อความน่าดึงดูดของทอง โดยขณะนี้ราคาทองได้เข้าสู่ภาวะหมีในปัจจุบัน เนื่องจากราคาทองทรุดตัวลงมาแล้ว 33  % จากสถิติสูงสุดเหนือ 1,920 ดอลลาร์ต่อออนซ์ที่ทำไว้ในเดือนก.ย. 2011
        นายจอร์จมิลลิง-สแตนเลย์ เจ้าของบริษัทจีเอ็มเอสออนโกลด์ กล่าวว่า "การที่ราคาทองเคยปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน 10-12 ปี ส่งผลให้ธนาคารกลางมีความเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้นในการเพิ่มปริมาณการซื้อทอง ในช่วงนั้น"
        "อย่างไรก็ดี นักเก็งกำไรได้เข้ามาโจมตีราคาทองราว 2-3 ครั้งในปีนี้ และธนาคารกลางบางแห่งอาจตัดสินใจชะลอการซื้อทอง"
        ภาครัฐในยุโรปปรับลดปริมาณการลงทุนในทองไม่มากนักในช่วงที่ผ่านมา เพราะมีการทำข้อตกลงขายทองของธนาคารกลาง (CBGA) ติดต่อกันหลายครั้งนับตั้งแต่ปี 1999 และข้อตกลงนี้จำกัดปริมาณการขายทองของธนาคาร กลาง
        อย่างไรก็ดี ตลาดทองได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากจากเหตุการณ์สำคัญในช่วงต้นปีนี้ ซึ่งได้แก่การที่คณะกรรมาธิการยุโรป (อีซี) ประเมินว่า  ไซปรัสสามารถขายทองสำรองส่วนเกินได้เป็นมูลค่าราว 400 ล้านยูโร (534.4 ล้านดอลลาร์) เพื่อระดมเงินมาใช้สมทบมาตรการให้ความ ช่วยเหลือทางการเงินจากต่างประเทศ ซึ่งการประเมินดังกล่าวของอีซีทำให้ตลาดมองว่า ประเทศที่มีหนี้สินสูงในยูโรโซนอาจจะขายทองสำรองออกมา
        นายมิลลิง-สแตนเลย์กล่าวว่า "เมื่ออีซีระบุว่า ไซปรัสสามารถใช้ทองสำรองของตนเองเป็นทุนสนับสนุนมาตรการช่วยเหลือ ปัจจัยนี้ก็ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในตลาดทอง"
        "ขณะนี้ยังไม่มีแนวโน้มว่า ประเทศอย่างเช่นอิตาลี, สเปน หรือโปรตุเกส จะเริ่มต้นขายทองสำรองออกมาในทันที นอกจากว่าราคาทองจะดิ่งลงสู่ระดับต่ำกว่า 1,000 ดอลลาร์/ออนซ์"
        ประเทศที่มีเศรษฐกิจอ่อนแอในยูโรโซนครอบคลุมทั้งโปรตุเกส,ไอร์แลนด์, อิตาลี, กรีซ และสเปน โดยประเทศกลุ่มนี้ครอบครองทองกว่า 3,230 ตันในปัจจุบัน ซึ่งคิดเป็นมูลค่าราว 1.005 แสนล้านยูโร
จีนเตรียมขึ้นแท่นผู้บริโภคทองรายใหญ่ที่สุดในโลกแซงหน้าอินเดียปีีนี้
        ข้อมูลระบุว่า การบริโภคทองของจีนในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ พุ่งขึ้นมากกว่าครึ่ง ขณะที่ราคาทองที่ปรับตัวลงได้ดึงดูดผู้ซื้อ และตอกย้ำการคาดการณ์ที่ว่า จีนจะแซงหน้าอินเดียขึ้นเป็นประเทศผู้บริโภคทองรายใหญ่ที่สุดของโลกในปีนี้
        ราคาทองร่วงลงราว 1 ใน 5 ของมูลค่าในปีนี้ หลังจากปรับตัวขึ้นเป็นเวลา 12 ปี ซึ่งได้กระตุ้นอุปสงค์ทองทั่วโลก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอินเดียและจีน ซึ่งทองเป็นส่วนสำคัญของงานแต่งงานและการให้ของขวัญ
        สมาคมทองจีน (CGA) ระบุในแถลงการณ์ในเว็บไซท์ว่า จีนบริโภคทอง 706.36 ตันในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ โดยเพิ่มขึ้น 54% จากปีก่อนจีนบริโภคทอง 832.18 ตันในปี 2012 และประมาณ 460 ตันในช่วงครึ่งแรกของปี 2012
"จีนซื้อทองปริมาณมากเมื่อราคาร่วงต่ำกว่า 1,350 ดอลลาร์ในเดือน เม.ย. โดยคิดว่าราคาจะไม่ลดลงอีก" นายเฉินมิน นักวิเคราะห์โลหะ มีค่าของจินรุย ฟิวเจอร์สในเสิ่นเจิ้นกล่าว
        "พวกเขาซื้อทองมากกว่าปกติในเดือนเม.ย.และพ.ค.เพื่อรองรับความต้องการในช่วงต่อไปของปีนี้"
        ในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ราคาทองทำสถิติทรุดตัวลงในช่วง 2 วันมากที่สุดในรอบ 30 ปี และต่อมาราคาทองฟื้นตัวขึ้นหลังจากร่วงลงต่ำกว่าระดับ 1,200 ดอลลาร์ในเดือนมิ.ย. แต่ยังคงเผชิญการซื้อขายที่ผันผวนและแนวโน้มในเชิงลบ ขณะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐทำให้นักลงทุน เกิดความวิตกเกี่ยวกับการปรับลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) 
        "อุปสงค์ของจีนในเดือนเม.ย.และพ.ค.มากกว่าประเทศอื่นๆ และจีนเป็นผู้ซื้อทองอย่างต่อเนื่องแม้ราคาฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยก็ตาม" เทรดเดอร์รายหนึ่งในเซี่ยงไฮ้ระบุ
        สภาทองคำโลกเปิดเผยเมื่อเดือนที่แล้วว่า อุปสงค์ทองของจีนอาจแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 1,000 ตันในปีนี้ และจะแซงหน้าอินเดีย
        การบริโภคทองของอินเดียในปีนี้คาดว่าจะต่ำกว่าปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ 860 ตัน ขณะที่รัฐบาลกำลังพยายามที่จะควบคุมการนำเข้าเพื่อลดยอดขาดดุลการค้า
        รัฐบาลจีนไม่ได้เปิดเผยข้อมูลการบริโภคหรือการนำเข้าทอง ขณะที่นักลงทุนพึ่งพาข้อมูลจากกลุ่มการค้า อาทิ CGA และข้อมูลการนำเข้าจากฮ่องกง ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ของจีน เพื่อประเมินอุปสงค์ทองของจีน
"สัญญาณทั้งหมดบ่งชี้ว่าจีนจะแซงหน้าอินเดีย โดยอุปสงค์ในช่วงครึ่งปีหลังอาจจะไม่สูง แต่ก็จะยังคงแซงหน้าอินเดีย" เทรดเดอร์ในเซี่ยงไฮ้กล่าว
        นักวิเคราะห์และเทรดเดอร์ระบุว่า ผู้บริโภคของจีนต้องการที่จะเห็นราคามีเสถียรภาพมากขึ้นและไม่ใช่เฉพาะราคาที่ลดลงเท่านั้น ซึ่งเป็นเหตุให้อุปสงค์ของจีนซบเซาลงในปัจจุบัน
        CGA ระบุด้วยว่า การผลิตในจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตทองรายใหญ่ที่สุดของโลก แตะระดับ 192.82 ตันในช่วงครึ่งปีแรก เพิ่มขึ้น 9% จากปีที่แล้ว
(ข่าวจากสำนักข่าว รอยเตอร์)
 
T.Thammasak
กำลังโหลดความคิดเห็น