- EU เรียกร้องให้ผู้นำกลุ่ม G-20 ระมัดระวังและดำเนินการเชิงรุกเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และทำให้มีการขยายตัวอย่างยั่งยืนอีกครั้งโดยเฉพาะเรื่องจ้างงาน การปฏิรูปทางการเงิน และจัดการเรื่องการเลี่ยงภาษี ทั้งนี้ จะมีการประชุมสุดยอด G-20 ครั้งที่ 8 ในเดือน ก.ย.นี้ ที่นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก รัสเซีย
- ประธานาธิบดี บารัค โอบามา เตือนว่า สมาชิกสภาคองเกรสฝ่ายรีพับลิกัน กำลังเพิ่มความเสี่ยงทางการคลังและเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยการเพิ่มเงื่อนไขการอนุมัติให้ขยายเพดานหนี้สาธารณะที่จะอภิปรายในสภาเร็วๆ นี้เพราะรีพับลิกันกำลังปฏิเสธความรับผิดชอบที่จะจัด สรรงบประมาณของประเทศอย่างเหมาะสม รวมถึงการจะไม่ยอมอนุมัติการลงทุนที่จำเป็นในด้านการศึกษา พลังงาน และการวิจัย
- ความเชื่อมั่นผู้บริโภคของฝรั่งเศสเดือน ก.ค.ปรับตัวขึ้นสู่ -60 จากเดิม -66 ในเดือน มิ.ย. หลังจากภาคครัวเรือนมีมุมมองเป็นบวกในการจับจ่ายซื้อสินค้าในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ แต่ถึงแม้ ว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคของฝรั่งเศสจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นบ้าง ก็ยังคงต่ำกว่าระดับเฉลี่ยในระยะยาว
- IMF คาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัว 1.7% ในปีนี้ และ 2.7% ในปีหน้า ซึ่งลดลง 0.2% จากที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือน เม.ย. โดยยังคงฟื้นตัวเล็กน้อยจากแรงหนุนของมาตรการทางการเงินผ่อนคลาย และจากความมั่งคั่งของภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นเพราะราคาบ้านกับราคาหุ้นสูงขึ้น และเตือนว่าการลดรายจ่ายโดยอัตโนมัติ(Sequester) จะลดการขยายตัวในระยะใกล้ และอาจบั่นทอนศักยภาพในระยะกลางผ่านการลดค่าใช้จ่ายด้านการศึกษากับสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน
- ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐช่วงท้ายเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้นสู่ 85.1 จาก 84.1 ในเดือนก่อน เนื่องจากมีการจับจ่ายใช้สอยต่อเนื่อง สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเป็น 84 จุด
- มูดี้ส์ เตือนว่า รัฐวิสาหกิจของรัฐบาลระดับมณฑลของจีนอาจผิดนัดชำระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในครึ่งปีหลัง ราว 127 พันล้านหยวน (21 พันล้านดอลลาร์)เนื่องจากขาดกระแสเงินสด และอาจต้องให้รัฐบาลกลางเข้าแทรกแซง นอกจากนี้ การรีไฟแนนช์หนี้ก็อาจทำได้ยากขึ้น เพราะรัฐบาลจีนมีนโยบายจะจัดการกับการเงินนอกระบบโดยจำกัดการปล่อยสินเชื่อ และมุ่งรักษาวินัยทางการเงินของภาค ธ.พาณิชย์ มากกว่ามุ่งเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจ
- จีนสั่งให้บริษัทกว่า 1,400 แห่งใน 19 อุตสาหกรรมลดการผลิตส่วนเกินลงในปีนี้ ตามนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อให้ยั่งยืนมากขึ้น แทนการมุ่งให้ขยายตัวอย่างเดียว เพราะปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินที่สูงจะทำให้ภาคอุตสาหกรรมเผชิญความเสี่ยงด้านผลการดำเนินงานในระยะยาว โดยอุตสาหกรรมที่จะต้องลดกำลังการผลิตในปีนี้ ได้แก่ เหล็ก ซีเมนต์ กระดาษ อลูมิเนียม ทองแดง เป็นต้น
- ญี่ปุ่น เตรียมขึ้นภาษีหลังจากทบทวนตัวเลข GDP เบื้องต้นสำหรับเดือน เม.ย.-มิ.ย.ซึ่งจะเปิดเผยในเดือน ก.ย. ทั้งนี้ จะประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการปรับขึ้นภาษีการบริโภค โดยจะให้ความสำคัญอันดับแรกกับการนำเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นภาวะเงินฝืด
- รมว.คลังญี่ปุ่น กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อ (CPI) ที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบเกือบ 5 ปี แสดงให้เห็นว่าญี่ปุ่นค่อยๆ หลุดพ้นจากภาวะเงินฝืดและเข้าสู่ภาวะเงินเฟ้อแล้ว โดยดัชนี CPI พื้นฐาน + 0.4% จากที่คาดว่าจะ +0.3% ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากค่าไฟฟ้าและเงินเยนที่อ่อนค่าลงทำให้ต้นทุนการนำเข้าน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังเห็นว่า รัฐบาลควรตัดสินใจว่าจะขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม 5% หรือไม่ หลังจากที่ข้อมูล GDP ไตรมาส 2 จะออกมาในเดือน ก.ย.
- สิงคโปร์ อาจออกมาตรการอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติมเพื่อสกัดฟองสบู่เพราะมาตรการควบ คุมการเก็งกำไรในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้ผลเท่าที่ควรทำให้ราคาบ้านในไตรมาส 2 เพิ่ม ขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในสิงคโปร์ในไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 1% มาอยู่ที่ 215.4 จุด
- มูดี้ส์ มีแนวโน้มจะปรับขึ้นอันดับความน่าเชื่อถือของฟิลิปปินส์ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มอันดับความน่าลงทุนเป็นครั้งที่ 3 ในเร็วๆ นี้ เนื่องจากเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ดีกว่าคาด จนอาจขยายตัวมากกว่าประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับเดียวกันในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ อันดับความน่าเชื่อถือในปัจจุบันอยู่ที่ Ba1 และหากได้รับการปรับขึ้น 1 ขั้น ก็จะทำให้เป็น Baa3
- ธ.กลางฟิลิปปินส์ คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 3.5% และเพิ่มประมาณการอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจากการอ่อนค่าลงของเงินเปโซเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น และระบุว่ายังไม่จำเป็นต้องไปกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม เนื่องจากความต้องการในประเทศมีอยู่สูง และ ธ.กลางฟิลิปปินส์จะใช้นโยบายการเงินอย่างรัดกุม
- รัฐบาลเกาหลีใต้ ยื่นข้อเสนอการเจรจาครั้งสุดท้ายกับเกาหลีเหนือ เพื่อแก้ปัญหานิคมอุตสาหกรรมแกซองที่ถูกเกาหลีเหนือสั่งปิดตั้งแต่ต้นเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา โดยตัวแทนจากทั้ง2 ประเทศยังไม่สามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้ในการประชุมล่าสุดครั้งที่ 6 ในขณะที่เกาหลีเหนือขู่ว่า พื้นที่ดังกล่าวอาจจะถูกเข้าควบคุมโดยกองทัพ
- ซูซูกิ เตรียมเปิดโรงงานประกอบรถยนต์และผลิตเครื่องยนต์แห่งที่ 2 ในกรุงจาการ์ต้า ด้วยเงินลงทุนประมาณ 1 แสนล้านเยน เพื่อผลิตรถยนต์ขนาดเล็กตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นในประเทศเป็นหลัก
- รัฐบาลพม่า เปิดเผยแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายในภาคใต้ของตะนาวศรีในช่วงอีก 75 ปีข้างหน้า โดยจะเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างรัฐบาลพม่า ไทย และญี่ปุ่น เพื่อดึงดูดโครงการพัฒนาและธุรกิจจากต่างประเทศ ทั้งนี้ โครงการเฟสแรกจะเน้นธุรกิจขนาดเล็กและกลางในอุตสาหกรรมสิ่งทอ ผลิตภัณฑ์หนัง อาหาร ยาง และอุตสาหกรรมสินค้าเกษตร ส่วนเฟส 2 จะเน้นอุตสาหกรรมเหล็กกล้า ปุ๋ย โรงกลั่นน้ำมัน และโรงงานประกอบรถยนต์ เฟส 3 จะขยายไปยังโรงงานพลาสติก เคมี และโรงกลั่นน้ำมันดิบ ในขณะที่เฟส 4 และ 5 จะเน้นไปที่การพาณิชย์กับการตลาด
- สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) รายงานว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ของไทยเดือน มิ.ย.ลดลง 3.54% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการผลิตที่ลดลงในอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง ปิโตรเลียม ไก่แปรรูป และเครื่องใช้ไฟฟ้า โดย MPI ในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ติดลบ 1.14%
- ก.พาณิชย์ คาดว่า การส่งออกของไทยในปีนี้จะไม่สามารถขยายตัวได้ตามเป้าที่วางไว้ที่ 7.0%-7.5% โดยจะทบทวนเป้าหมายส่งออกใหม่ใน 2 เดือนข้างหน้า แต่เชื่อว่าจะขยายตัวไม่น้อยกว่าปีก่อนที่เติบโตราว 3% ทั้งนี้ การส่งออกช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ยังเพิ่มขึ้น 0.95%
- ก.คลัง รายงานว่า ยอดหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นเดือนเม.ย.อยู่ที่ 44.21% ของ GDP หรือ 5.15 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นหนี้ของรัฐบาล 3.58 ล้านล้านบาท กับหนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน 1.06 ล้านล้านบาท
- สมาคมผู้ค้าปลีกไทย เผยว่า แนวโน้มธุรกิจค้าปลีกในช่วงครึ่งปีหลังอยู่ในภาวะ "ทรงตัว" เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากสัดส่วนหนี้ครัวเรือนในระบบขยายตัวสูง โดยคาดการณ์ว่าธุรกิจค้าปลีกมูลค่า 2.4 ล้านล้านบาทในปีนี้จะขยายตัวเพียง 9% ลดลงจากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะเติบโต 10-12% โดยสาเหตุสำคัญมาจากการเพิ่มขึ้นของภาระผ่อนหนี้รถยนต์คันแรก การซื้อมือถือและอุปกรณ์ไอที ปัญหาค่าครองชีพสูงขึ้น และการขาดแรงกระตุ้นจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
- ธปท. เผยว่า ธ.พาณิชย์ไทยส่วนใหญ่กันสำรองเพิ่มมากขึ้นในไตรมาส 2 เพื่อรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกซึ่งไม่แน่นอน รวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยเอง แต่ตัวเลข NPL ไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด โดย Gross NPL อยู่ที่ 2.2% ของสินเชื่อรวม อันเป็นระดับต่ำเมื่อเทียบกับการขยายตัวของสินเชื่อ
- SET Index ปิดที่ 1,476.71 จุด เพิ่มขึ้น 20.03 จุด หรือ 1.38% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 44,149.74 ล้านบาท โดยผันผวนระหว่างวันสูงทั้งในแดนบวกและลบจากปัจจัยกดดันทางการเมือง อย่างไรก็ตาม ดัชนีฯ ได้ปรับตัวไปปิดเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีแรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคารพาณิชย์ สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามสัปดาห์นี้คือการประชุม ธ.กลางสหรัฐ (FOMC) ในวันที่ 30-31 ก.ค.นี้ รวมถึงการเมืองในประเทศที่มีความกดดันจากการผลักดันร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรม เข้าสู่การพิจารณาของสภาในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ อันอาจก่อให้เกิดการต่อต้านจากกลุ่มที่ไม่พอใจได้
- ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตของตลาดหุ้นจีนปิดที่ 2,010.85 จุด ลดลง 10.32 จุด หรือ -0.51% จากการที่นักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หลังราคาอยู่ในระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี และเป็นการตอบรับข่าวที่รัฐบาลจะลดกำลังการผลิตใน 19 อุตสาหกรรมเพื่อแก้ปัญหาอุปทานส่วนเกิน
- รัฐบาลเกาหลีใต้จะผลักดันการบังคับใช้กฎหมายภาษีจากการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าและออพชั่นตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป โดยนักลงทุนจะต้องเสียภาษีในอัตรา0.001% จากกำไรในการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าและออพชั่น ทั้งนี้ คาดว่าจะทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้น 1.2 แสนล้านวอน (107.9 ล้านดอลลาร์) ต่อปี
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวในช่วงแคบ -0.02% ถึง +0.01%สำหรับวันนี้ไม่มีการประมูล
- IMF ระบุว่า รัสเซียและคาซัคสถานได้เพิ่มสัดส่วนการถือครองทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกันในเดือนมิถุนายนนี้ โดยรัสเซียเพิ่มการถือครองทองคำ 0.3 ตัน มาอยู่ที่ 996.4 ตัน ในขณะที่คาซัคสถานเพิ่มขึ้น 1.4 ตัน เป็น 130.9 ตัน โดยนักวิเคราะห์จากสแตนดาร์ดแบงก์ เชื่อว่า ราคาทองคำอาจเป็นภาวะกระทิงอีกครั้งหากจีนและยุโรปประกาศแผนเพิ่มสัดส่วนทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศ
- สภาทองคำโลก (WGC) เปิดเผยว่า อุปสงค์ทองของจีนอาจแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,000 ตันในปีนี้ และจะทำให้จีนแซงหน้าอินเดียขึ้นมาเป็นผู้บริโภคทองรายใหญ่ที่สุดในโลก
- Eric Sprott, CEO/ CIO ของ Sprott Asset Management GP Inc. ตั้งคำถามว่าธนาคารกลางสหรัฐยังมีทองคำอยู่ในมืออีกหรือไม่ เพราะขณะนี้ทองคำขาดแคลนมากจนเห็นได้ชัด และคาดว่าราคาทองคำในปัจจุบันน่าจะอยู่ในระดับต่ำสุดแล้ว