- ลุฟท์ฮันซา สายการบินแห่งชาติของเยอรมัน ยกเลิกเที่ยวบินภายในเยอรมนีและยุโรปเกือบทั้งหมดกว่า1,700 เที่ยว หลังพนักงานหยุดงานประท้วงวานนี้เพราะการเจรจาเพิ่มเงินเดือนเป็นรอบที่3 ล้มเหลว
- ธนาคารกลางไซปรัสระบุว่า บริษัทประกันองค์กรการกุศล และ สถาบันการศึกษาของเอกชนจะได้รับผลกระทบจากการสูญเสียเงินฝากโดยได้พยายามลดผลกระทบโดยรวมต่อผู้ฝากเงินแล้ว แต่ผู้ฝากจะต้องสูญเสียเงิน 27.5% ของเงินฝากในธนาคาร แบงก์ออฟไซปรัส (ภายใต้ข้อตกลงก่อนหน้านี้ กลุ่มดังกล่าวจะได้รับการยกเว้น)
- FEDสาขาชิคาโก้ เปิดเผยว่า ดัชนีกิจกรรมการผลิตทั่วประเทศเดือน มี.ค.ซึ่งที่ถูกจับตาอย่างใกล้ชิด เป็น-0.23(จากเดิม +0.76 ในเดือนก่อน) โดยแรงผลักดันในการขยายตัวของการบริโภคและครัวเรือนทรงตัวในขณะที่แรงผลักดันจากการจ้างงานและยอดขายและสินค้าคงคลังลดลงสู่แดนลบ
- HoracioCartes นักธุรกิจมหาเศรษฐีจากพรรคโคโลราโด ซึ่งเป็นพรรคสายอนุรักษ์นิยม วัย 56ปี ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง ได้เป็น ประธานาธิบดีคนใหม่ของปารากวัย
- มิตซูบิชิมอเตอร์ จะลดกำลังการผลิตภายในประเทศรายปีลงประมาณ 20% โดยจะรวมสายการผลิตสี่สายที่โรงงานหลักให้เหลือเพียงสองสายภายในสิ้นปีแต่จะยังคงจ้างพนักงานเดิม 3,050 คน แม้ว่าปริมาณการผลิตจะลดลง
- หลูเจิ้งเหว่ย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ อินดัสเทรียล แบงก์ คาดว่า เศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยในไตรมาส2 จากการบริโภคที่จะขยายตัวดีขึ้นตั้งแต่เดือนมี.ค และคาดว่ารัฐบาลท้องถิ่นจะเริ่มเดินหน้าโครงการลงทุนควบคู่กับการอัดฉีดเงินทุนทางการคลังตามที่หารือกันในการประชุมประจำปีของรัฐสภามื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา
- มูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ(FDI) ของอินโดนีเซียใน 3 เดือนแรกของปีสูงขึ้น 27.7%เมื่อเทียบรายปี สู่ 65.5ล้านล้านรูเปียห์ (6.744 พันล้านดอลลาร์) ซึ่งการลงทุนที่ขยายตัวและการบริโภคขนานใหญ่ในประเทศได้ช่วยชดเชยการลดลงของการส่งออก
- ธปท. คาดว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1 จะขยายตัวเล็กน้อยจากไตรมาส 4/55 ที่ขยายตัวเกินกว่าการคาดการณ์ของตลาด อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับปีที่แล้ว คาดว่าจะโตได้กว่า 7% และมั่นใจว่า ยังมีแรงส่งของการขยายตัวต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี โดยจะขยายได้ 5.1% ตามที่คาดการณ์
- นายกรัฐมนตรี สั่งให้ ก.พาณิชย์เร่งปรับแผนการทำงานใหม่เพื่อกระตุ้นการส่งออกในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปีนี้ เพื่อรักษาเป้าหมายมูลค่าการส่งออกให้เติบโตได้ที่ร้อยละ 8-9 ทั้งนี้ ทาง สศค.คาดการณ์ว่าการส่งออกจะขยายตัวได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเนื่องจากเศรษฐกิจโลกจะมีการฟื้นตัวดีขึ้น อย่างไรก็ดี เงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่ายังเป็นปัจจัยหลักที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดนอกจากนี้ ภาวะแล้ง และความไม่สงบในส่วนต่างๆ ของโลกยังคงเป็นปัจจัยที่อาจกระทบการส่งออกของไทยในอนาคต
- นายกรัฐมนตรี จะเข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่บรูไนระหว่างวันที่ 24-25 เม.ย.นี้ โดยจะผลักดันแผนปฏิบัติการ Drug-free ASEAN แผนปฏิบัติการเรื่องการค้ามนุษย์ การบริหารจัดการภัยพิบัติ และการระดมทุนสำหรับการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างประเทศสมาชิก (connectivity)
- SETIndex ปิดที่ 1,559.10 จุด เพิ่มขึ้น 13.64 จุด หรือ +0.88% ด้วยมูลค่าซื้อขาย61,346.94 ล้านบาทโดยมีแรงซื้อหุ้นกลุ่มแบงก์ และอสังหาริมทรัพย์เข้ามาอย่างคึกคัก แต่แรงขายหุ้นกลุ่มพลังงาน รวมถึงหุ้นCPALL ได้ถ่วงภาพรวมการลงทุน ทั้งนี้ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ มองว่าตลาดหุ้นไทยมีแรงเก็งกำไรอีกครั้งหลังผลประกอบการไตรมาส 1/56 ของกลุ่มแบงก์ออกมาดี และการที่ดัชนียืนเหนือระดับ 1,550 ได้ ทำให้มีโอกาสที่จะขยับขึ้นได้ต่อ
- ดัชนีนิกเกอิของญี่ปุ่นพุ่งขึ้น 2% แตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 5 ปี ตอบรับผลการประชุมกลุ่ม G-20 ขณะที่ทิศทางที่ชัดเจนสำหรับการอ่อนค่าลงของเยนจะเพิ่มแนวโน้มสำหรับผลประกอบการของภาคเอกชนญี่ปุ่นด้วย
- ตลาดหุ้นยุโรปดีดตัวขึ้นในการซื้อขายช่วงแรกนำโดยดัชนีหุ้นอิตาลี หลังจากที่ดิ่งลงอย่างหนักในสัปดาห์ที่แล้ว โดยนักลงทุนได้เข้าซื้อคืนหุ้นราคาถูกหลังจากมีสัญญาณความคืบหน้าทางการเมือง หลังผลเลือกตั้งอิตาลีที่ได้ จอร์โจ นาโตลิตาโนเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ขณะที่การบรรลุข้อตกลงระหว่างพรรคการเมืองต่างๆได้เพิ่มแนวโน้มที่ว่าอาจจะมีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่
- ผลสำรวจผู้จัดการกองทุนชั้นนำโดยHSBC พบว่า ในไตรมาส 2/56 ผู้จัดการกองทุนยังคงสนใจลงทุนในตลาดหุ้นโดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานดีกว่าตลาดอื่น และไม่มีผู้จัดการกองทุนรายใดที่ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นเลย
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลค่อนข้างคงที่ในทุกช่วงอายุตราสาร โดยนักลงทุนยังคงจับตาค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าอย่างต่อเนื่องและติดตามว่า ธปท. จะส่งสัญญาณหรือมีมาตรการเพื่อแก้ปัญหาค่าเงินบาทภายใต้สถานการณ์ที่เหมาะสมอย่างไร
- ธปท.ยืนยันว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยขณะนี้ ไม่ได้สูงเกินไป โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ 5% และเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาค ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยจึงไม่ได้เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เงินทุนไหลเข้าสู่ประเทศไทย ส่วนเงินทุนที่ไหลเข้าจำนวนมากในขณะนี้จนส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นนั้นได้สะท้อนถึงปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยว่ายังแข็งแกร่งและดูดีกว่าประเทศอื่นๆ รอบข้าง การลดดอกเบี้ยในช่วงที่เศรษฐกิจแข็งแกร่งจึงอาจก่อให้เกิดผลกระทบด้านลบได้
- ธปท. ระบุว่า เงินบาทในขณะนี้เริ่มแข็งค่าเร็วและแรงเกินไป แต่เป็นไปตามปัจจัยพื้นฐาน และ ธปท.มีมาตรการที่พร้อมนำมาใช้ดูแลอยู่แล้ว เพียงแค่รอให้ตลาดมีโอกาสปรับตัวเองก่อน เพราะการใช้มาตรการย่อมมีผลดีและผลข้างเคียง ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปี บาทแข็งค่าขึ้นที่สุดในภูมิภาค(7%)
- ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล อดีตผู้ว่าการธปท. ชี้แนะให้ ธปท.ซื้อเงินตราต่างประเทศแทนการใช้นโยบายดอกเบี้ยเพื่อแก้ปัญหาเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่อง
- ผลสำรวจผู้จัดการกองทุนชั้นนำโดยHSBC สำหรับตลาดพันธบัตร พบว่า 75% ของผู้จัดการกองทุน ชอบการลงทุนในพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่นของเอเชีย เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของภูมิภาคเอเชียยังแข็งแกร่งกว่าที่อื่น และสกุลเงินเอเชียมีทิศทางแข็งค่าขึ้น
- บ.คลาสสิก โกลด์ ฟิวเจอร์ส กล่าวว่า ราคาทองคำยังมีแนวโน้มขาลง โดยหากหลุดแนวรับที่ 1,300 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์จะมาทดสอบแนวรับที่ 1,250-1,158 โดยคาดว่าปีนี้ราคาทองจะเคลื่อนไหวระหว่าง 1,158-1,550 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือประมาณ 15,700-21,600 บาทต่อบาททองคำ (ณ เงินบาทที่ 28.70) และคาดว่าต้องใช้เวลาอีก 1-2 ปี ราคาทองคำถึงจะกลับไปถึงระดับเดิมที่ 1,700-1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่ทำให้ราคาทองคำปรับขึ้นคือความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีที่อาจมีความขัดแย้งรุนแรงจนเกิดสงครามและขยายวงกว้างจนส่งผลต่อเศรษฐกิจจีนและญี่ปุ่น แต่เชื่อว่าเป็นไปได้ยาก ขณะที่ นายกสมาคมค้าทองคำ มีความเห็นต่างกัน โดยระบุว่า ในช่วงนี้ราคาทองคำจะไม่ลดต่ำลงถึง 1,325 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือราคาในประเทศที่ 18,000 บาท อย่างแน่นอน