xs
xsm
sm
md
lg

เผยอียูปูพรมถก FTA จีน-ญี่ปุ่น-สหรัฐฯ “พาณิชย์” แนะไทยรีบคุยชิงความได้เปรียบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อียูเร่งเจรจา FTA กับยักษ์ใหญ่จีน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ รวมทั้งอาเซียน แนะไทยเร่งเจรจา FTA ให้จบโดยเร็วเพื่อใช้ประโยชน์จากการเปิดเสรีชิงความได้เปรียบ นัดถกรอบ 2 เดือน ก.ย.นี้

นางพิรมล เจริญเผ่า อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ขณะนี้สหภาพยุโรป (อียู) ได้ให้ความสำคัญต่อการเจรจาเพื่อขยายความร่วมมือทางด้านการค้า การลงทุนกับประเทศต่างๆ หลายประเทศ ทั้งในรูปแบบของความร่วมมือทางการค้า และการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) โดยมีเป้าหมายคือ จีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น แคนาดา และอาเซียน ซึ่งอียูมองว่าเป็นประเทศที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ และจะร่วมมือกันในการขยายการค้าและการลงทุนได้

ทั้งนี้ ล่าสุดอียูได้มีการเจรจากับจีนเพื่อผลักดันความตกลงทวิภาคีด้านการค้าและการลงทุน ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายมุ่งที่จะหาทางลดมาตรการกีดกันทางการค้าและการลงทุนระหว่างกัน โดยอียูต้องการให้จีนเปิดตลาดภาคการเงินและโทรคมนาคม

ส่วนสหรัฐฯ อียูได้เห็นชอบกรอบเจรจา The Transatlantic Trade and Investment Partnership (TTIP) แล้ว โดยการเจรจาจะเน้นใน 3 เรื่องหลัก คือ การเปิดตลาด การลดกฎระเบียบและอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี และการกำหนดกฎเกณฑ์ทางการค้าประเด็นใหม่ที่เป็นสากล เช่น ทรัพย์สินทางปัญญา การค้าและการพัฒนาที่ยั่งยืน และนโยบายการแข่งขันทางการค้า โดยตั้งเป้าสรุปการเจรจาภายในสิ้นปี 2557

สำหรับญี่ปุ่น ที่ปัจจุบันเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของอียูรองจากจีน ก็ได้เริ่มเจรจา FTA กันตั้งแต่ช่วงเดือน เม.ย. 2556 และขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจารอบ 2 ซึ่งการเจรจาล่าสุดได้เห็นร่วมกันในประเด็นต่างๆ เช่น ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การพัฒนาที่ยั่งยืน การแลกเปลี่ยนและพัฒนาเทคโนโลยี และการต่อต้านการแพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์

ขณะเดียวกัน อียูยังได้เจรจาในกรอบ EU-Canada Comprehensive Economic and Trade Agreement (CETA) ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายตั้งเป้าเจรจาให้จบภายในปี 2556 ซึ่งหากการเจรจาจบจะทำให้มูลค่าการค้าระหว่างอียูกับแคนาดาขยายตัวเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ อียูยังได้ให้ความสำคัญต่อการเจรจากับอาเซียน เพราะมองว่าเป็นภูมิภาคที่โดดเด่น เป็นทั้งคู่ค้า และแหล่งลงทุน และปัจจุบันอียูอยู่ระหว่างการเจรจา FTA กับอาเซียนรายประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย เวียดนาม และไทย โดยเจรจากับสิงคโปร์เสร็จแล้ว ซึ่งเน้นการเปิดตลาดสินค้าและบริการ เช่น การเงิน การธนาคาร และประกันภัย ส่วนไทยได้มีการเจรจารอบแรกกันไปแล้วเมื่อเดือน พ.ค. 2556 โดยประเด็นที่มีการเจรจากัน เช่น การค้าบริการ การลงทุน ทรัพย์สินทางปัญญา กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดของสินค้า การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ และการค้าและการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นต้น และมีกำหนดเจรจารอบ 2 ในเดือน ก.ย. 2556 ที่ประเทศไทย

นางพิรมลกล่าวว่า ไทยจำเป็นต้องเจรจา FTA กับอียู เพราะขณะนี้อาเซียนอื่นได้มีการเจรจากับอียูไปแล้ว บางประเทศก็เจรจาเสร็จแล้ว หากช้าไทยจะเสียเปรียบเพราะอียูเป็นตลาดส่งออกสำคัญ และการมี FTA ทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าการลงทุน และจะช่วยดึงดูดทุนของอียูมาไทย เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และบริการ รวมทั้งยังช่วยแก้ปัญหาอียูตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) ไทยทั้งประเทศตั้งแต่ 1 ม.ค. 2558 ได้ด้วย เพราะสินค้าที่เคยได้ GSP ก็จะถูกนำไปลดภาษีภายใต้ FTA แทน
กำลังโหลดความคิดเห็น