ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ประจำวันที่ 18-19 มิ.ย. เมื่อวานนี้ โดยรายงานระบุว่า กรรมการ FOMC ราวครึ่งหนึ่งมองว่า เฟดควรยุติมาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจ หรือการเข้าซื้อตราสารหนี้ตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ก่อนสิ้นปีนี้ แต่กรรมการหลายคนต้องการหลักฐานยืนยันว่าการจ้างงานในสหรัฐได้ฟื้นตัวขึ้นโดยมีพื้นฐานที่มั่นคง ก่อนที่เฟดจะปรับลดขนาดมาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจ
กรรมการส่วนใหญ่จากทั้งหมด 19 คนของเฟดมองว่า เป็นแนวคิดที่ดีที่จะให้นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟด กล่าวชี้แจงแผนปรับลดขนาด QE ในการแถลงข่าวหลังการประชุมเฟด ซึ่งนายเบอร์นันเก้ได้ทำตามนั้น โดยเขากล่าวในการแถลงข่าวในวันที่ 19 มิ.ย.ว่า เฟดมีแนวโน้มชะลอ อัตราการเข้าซื้อตราสารหนี้ก่อนสิ้นปีนี้ และอาจยุติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในช่วงกลางปี 2014
รายงานการประชุมระบุว่า "กรรมการหลายคนมองว่า มีแนวโน้มที่เฟดสมควรปรับลดขนาดการเข้าซื้อสินทรัพย์ลงในเร็วๆนี้" อย่างไรก็ดี "สมาชิกอีกหลายคนระบุว่า แนวโน้มตลาดแรงงานจำเป็นต้องปรับตัวดีขึ้นต่อไป จึงจะส่งผลให้เฟดสมควรชะลออัตราการเข้าซื้อสินทรัพย์" ตลาดการเงินแกว่งตัวผันผวนหลังจากเฟดเปิดเผยรายงานการประชุม ดังกล่าว ขณะที่ันักลงทุนพยายามคาดคะเนว่าเฟดมีแนวโน้มมากน้อย เพียงใดในการปรับลดขนาดการเข้าซื้อตราสารหนี้ในระยะอันใกล้นี้ อย่างไรก็ดี ตลาดปรับตัวขึ้นในช่วงการซื้อขายหลังเวลาทำการวานนี้ และราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดีดตัวสูงขึ้น หลังจากนายเบอร์นันเก้ กล่าวย้ำว่า เฟดจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป ในอนาคตอันใกล้ และเขาตั้งข้อสงสัยต่อความแข็งแกร่งของตลาด แรงงานสหรัฐ
หลังจากเฟดจัดการประชุมในวันที่ 18-19 มิ.ย. รัฐบาลสหรัฐก็ได้รายงานในวันที่ 5 ก.ค.ว่า ตลาดแรงงานสหรัฐอยู่ในภาวะแข็งแกร่งเกินคาดในเดือนมิ.ย.
มีกรรมการ 12 คนที่มีสิทธิออกเสียงในคณะกรรมการ FOMC ในปีนี้ อย่างไรก็ดี รายงานการประชุมประจำวันที่ 19 มิ.ย.ไม่ได้ระบุว่า สมาชิกผู้มีสิทธิออกเสียง 12 คนนี้สนับสนุนตารางเวลาของนายเบอร์นันเก้มากน้อยเพียงใด
นางคิม รูเพิร์ท กรรมการผู้จัดการแผนกวิเคราะห์ตราสารหนี้ของบริษัท แอคชัน อิโคโนมิคส์ กล่าวว่า "ทุกคนมีความเห็นเป็นของตัวเองในเรื่องที่ว่า เฟดควรเริิ่มต้นลดขนาด QE ลงเมื่อใด และดิฉันก็คิดว่าเรื่องนี้อาจมีความ ไม่แน่นอนมากยิ่งกว่าแต่ก่อน โดยก่อนหน้านี้คนส่วนใหญ่เคยคาดการณ์กันว่า เดือนก.ย.อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการปรับลดขนาด QE แต่รายงานการประชุมในครั้งนี้ทำให้เกิดข้อสงสัยต่อกรอบเวลาดังกล่าว"
ในบรรดากรรมการกำหนดนโยบายของเฟดที่มีสิทธิออกเสียงและระบุว่า เฟดควรปรับลดขนาด QE ลงในเร็วๆนี้นั้น กรรมการ 2 คนมองว่า เฟดควรทำเช่นนั้น "เพื่อป้องกันไม่ให้ผลกระทบในทางลบจาก QE บดบังผลประโยชน์ที่คาดหวังจากมาตรการดังกล่าว"
ในรายงานสรุปการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจของกรรมการ FOMC 19 คนนั้น กรรมการคนหนึ่งระบุว่า ควรจะมีการยุติโครงการเข้าซื้อสินทรัพย์ในทันที ในขณะที่กรรมการราวครึ่งหนึ่งระบุว่า ควรยุติ QE ภายในช่วงปลายปีนี้
กรรมการ FOMC ที่ไม่มีสิทธิออกเสียง 4 คน จะผลัดเปลี่ยนเข้ามาเป็นกรรมการผู้มีสิทธิออกเสียงในปี 2014 ขณะที่คาดกันว่า นายเบอร์นันเก้จะออกจากตำแหน่งประธานเฟดในช่วงต้นปีหน้า หลังจากดำรงตำแหน่งนี้ มานาน 8 ปี
นักลงทุนประสบความยากลำบากในการคาดการณ์ทิศทางนโยบายของเฟด
นายเอเดรียน มิลเลอร์ จากบล.จีเอ็มพีกล่าวว่า เขาไม่แน่ใจว่ามีกรรมการ FOMC กี่คนที่มีความเห็นแตกต่างกันไป โดยเขากล่าวว่า มีกรรมการ FOMC "'หลายคน' ที่ระบุว่า การจ้างงานจำเป็นต้องเติบโตขึ้นก่อนที่เฟดจะเริ่มต้นปรับลดขนาด QE และก็มีกรรมการ FOMC 'ครึ่งหนึ่ง' ที่คาดว่า เฟด จะยุติการเข้าซื้อตราสารหนี้ก่อนสิ้นปีนี้ แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีกรรมการ เฟด 'หลายคน' ที่คาดว่า เฟดจะเข้าซื้อตราสารหนี้ต่อไปในปี 2014"
นายมิลเลอร์กล่าวว่า "เรามีความเชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์ แต่เราประสบความยากลำบากในการนำกรรมการ FOMC 'หลายคน', '2-3 คน' และ 'ราวครึ่งหนึ่ง' มารวมกันแล้วได้ตัวเลข 100 %"
นายเบอร์นันเก้กล่าวเมื่อวานนี้ว่า เฟดจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป เนื่องจากอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับต่ำ และอัตราการว่างงานที่ 7.6 % ได้"สะท้อนภาพตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งกว่าความเป็นจริง"
นายเบอร์นันเก้กล่าวว่า "สิ่งที่สำคัญคือการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฟดจำเป็น ต้องดำเนินนโยบายแบบผ่อนคลายมากเป็นพิเศษต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้"
เฟดดำเนิน QE ด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและหลักทรัพย์ที่ได้รับการค้ำประกันจากสัญญาจำนอง (MBS) ในอัตรา 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ต่อเดือนในขณะนี้ ขณะที่ตลาดการเงินโลกได้ประสบกับภาวะตื่นตระหนกเมื่อ นายเบอร์นันเก้กล่าวถึงแผนการยุติ QE แต่หลังจากนั้นตลาดโลกก็ฟื้นตัวขึ้น และนักลงทุนคลายความกังวลลง เนื่องจากกรรมการเฟดหลายคนพยายามสร้างความมั่นใจต่อนักลงทุนว่า การยุติ QE ไม่ได้หมายความว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆนี้
รายงานประชุมเฟดระบุว่า "กรรมการหลายคนระบุว่า การตัดสินใจ เรื่องอัตราและองค์ประกอบในการเข้าซื้อสินทรัพย์ เป็นสิ่งที่แตกต่างไปจากการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่เหมาะสม"
ขณะนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ตลาดการเงินปรับตัวรับสัญญาณดังกล่าวไปแล้วอย่างเต็มที่หรือไม่ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้น 1 % ในเวลาเพียงแค่ 2 เดือน และอยู่ ใกล้กับจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2011 ในช่วงนี้
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐประเภท 10 ปี พุ่งขึ้นจาก 1.6140 % ในวันที่ 1 พ.ค. สู่ 2.755 % ในวันที่ 8 ก.ค. และอยู่ที่ 2.674 % ในช่วงท้ายตลาดวานนี้ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวในทิศทางตรงข้ามกับราคาพันธบัตร
การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรส่งผลให้กิจกรรมในตลาดการจำนองชะลอตัวลง หลังจากที่ตลาดการจำนองเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนเศรษฐกิจสหรัฐให้ฟื้นตัวในช่วงที่ผ่านมา
รัฐบาลสหรัฐรายงานในวันที่ 5 ก.ค.ว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตรในสหรัฐเพิ่มขึ้น 195,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย. และรัฐบาลได้ปรับทบทวนตัวเลขการจ้างงานเดือนเม.ย.และพ.ค.ให้สูงขึ้นจากเดิมด้วย ส่วนอัตราการว่างงานทรงตัวที่ 7.6 % ในเดือนมิ.ย.
นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า การที่ตลาดแรงงานปรับตัวดีขึ้นเช่นนี้ มีแนวโน้มที่จะส่งผลให้เฟดปรับลดขนาด QE ลงในการประชุมเดือน ก.ย.
รายงานประชุมเฟดประจำวันที่ 18-19 มิ.ย.ระบุว่า เจ้าหน้าที่ เฟดบางคนกังวลต่อแนวโน้มด้านการจ้างงาน และกังวลกับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วย โดยนักเศรษฐศาสตร์หลายคนเชื่อว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจขยายตัวต่ำกว่า 1 % ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบรายปี ถึงแม้เศรษฐกิจสหรัฐอาจเติบโตเร็วขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
รายงานประชุมเฟดระบุว่า "เจ้าหน้าที่บางคนกล่าวเสริมว่า พวกเขาจำเป็นต้องได้เห็นหลักฐานเพิ่มเติมที่แสดงให้เห็นว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจทวีความเร็วขึ้นตามความคาดหมาย ก่อนที่พวกเขาจะตัดสินใจปรับลดอัตรา การเข้าซื้อสินทรัพย์"
(ข่าวจากสำนักข่าว รอยเตอร์)
T.Thammasak.
กรรมการส่วนใหญ่จากทั้งหมด 19 คนของเฟดมองว่า เป็นแนวคิดที่ดีที่จะให้นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟด กล่าวชี้แจงแผนปรับลดขนาด QE ในการแถลงข่าวหลังการประชุมเฟด ซึ่งนายเบอร์นันเก้ได้ทำตามนั้น โดยเขากล่าวในการแถลงข่าวในวันที่ 19 มิ.ย.ว่า เฟดมีแนวโน้มชะลอ อัตราการเข้าซื้อตราสารหนี้ก่อนสิ้นปีนี้ และอาจยุติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในช่วงกลางปี 2014
รายงานการประชุมระบุว่า "กรรมการหลายคนมองว่า มีแนวโน้มที่เฟดสมควรปรับลดขนาดการเข้าซื้อสินทรัพย์ลงในเร็วๆนี้" อย่างไรก็ดี "สมาชิกอีกหลายคนระบุว่า แนวโน้มตลาดแรงงานจำเป็นต้องปรับตัวดีขึ้นต่อไป จึงจะส่งผลให้เฟดสมควรชะลออัตราการเข้าซื้อสินทรัพย์" ตลาดการเงินแกว่งตัวผันผวนหลังจากเฟดเปิดเผยรายงานการประชุม ดังกล่าว ขณะที่ันักลงทุนพยายามคาดคะเนว่าเฟดมีแนวโน้มมากน้อย เพียงใดในการปรับลดขนาดการเข้าซื้อตราสารหนี้ในระยะอันใกล้นี้ อย่างไรก็ดี ตลาดปรับตัวขึ้นในช่วงการซื้อขายหลังเวลาทำการวานนี้ และราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดีดตัวสูงขึ้น หลังจากนายเบอร์นันเก้ กล่าวย้ำว่า เฟดจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป ในอนาคตอันใกล้ และเขาตั้งข้อสงสัยต่อความแข็งแกร่งของตลาด แรงงานสหรัฐ
หลังจากเฟดจัดการประชุมในวันที่ 18-19 มิ.ย. รัฐบาลสหรัฐก็ได้รายงานในวันที่ 5 ก.ค.ว่า ตลาดแรงงานสหรัฐอยู่ในภาวะแข็งแกร่งเกินคาดในเดือนมิ.ย.
มีกรรมการ 12 คนที่มีสิทธิออกเสียงในคณะกรรมการ FOMC ในปีนี้ อย่างไรก็ดี รายงานการประชุมประจำวันที่ 19 มิ.ย.ไม่ได้ระบุว่า สมาชิกผู้มีสิทธิออกเสียง 12 คนนี้สนับสนุนตารางเวลาของนายเบอร์นันเก้มากน้อยเพียงใด
นางคิม รูเพิร์ท กรรมการผู้จัดการแผนกวิเคราะห์ตราสารหนี้ของบริษัท แอคชัน อิโคโนมิคส์ กล่าวว่า "ทุกคนมีความเห็นเป็นของตัวเองในเรื่องที่ว่า เฟดควรเริิ่มต้นลดขนาด QE ลงเมื่อใด และดิฉันก็คิดว่าเรื่องนี้อาจมีความ ไม่แน่นอนมากยิ่งกว่าแต่ก่อน โดยก่อนหน้านี้คนส่วนใหญ่เคยคาดการณ์กันว่า เดือนก.ย.อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการปรับลดขนาด QE แต่รายงานการประชุมในครั้งนี้ทำให้เกิดข้อสงสัยต่อกรอบเวลาดังกล่าว"
ในบรรดากรรมการกำหนดนโยบายของเฟดที่มีสิทธิออกเสียงและระบุว่า เฟดควรปรับลดขนาด QE ลงในเร็วๆนี้นั้น กรรมการ 2 คนมองว่า เฟดควรทำเช่นนั้น "เพื่อป้องกันไม่ให้ผลกระทบในทางลบจาก QE บดบังผลประโยชน์ที่คาดหวังจากมาตรการดังกล่าว"
ในรายงานสรุปการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจของกรรมการ FOMC 19 คนนั้น กรรมการคนหนึ่งระบุว่า ควรจะมีการยุติโครงการเข้าซื้อสินทรัพย์ในทันที ในขณะที่กรรมการราวครึ่งหนึ่งระบุว่า ควรยุติ QE ภายในช่วงปลายปีนี้
กรรมการ FOMC ที่ไม่มีสิทธิออกเสียง 4 คน จะผลัดเปลี่ยนเข้ามาเป็นกรรมการผู้มีสิทธิออกเสียงในปี 2014 ขณะที่คาดกันว่า นายเบอร์นันเก้จะออกจากตำแหน่งประธานเฟดในช่วงต้นปีหน้า หลังจากดำรงตำแหน่งนี้ มานาน 8 ปี
นักลงทุนประสบความยากลำบากในการคาดการณ์ทิศทางนโยบายของเฟด
นายเอเดรียน มิลเลอร์ จากบล.จีเอ็มพีกล่าวว่า เขาไม่แน่ใจว่ามีกรรมการ FOMC กี่คนที่มีความเห็นแตกต่างกันไป โดยเขากล่าวว่า มีกรรมการ FOMC "'หลายคน' ที่ระบุว่า การจ้างงานจำเป็นต้องเติบโตขึ้นก่อนที่เฟดจะเริ่มต้นปรับลดขนาด QE และก็มีกรรมการ FOMC 'ครึ่งหนึ่ง' ที่คาดว่า เฟด จะยุติการเข้าซื้อตราสารหนี้ก่อนสิ้นปีนี้ แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีกรรมการ เฟด 'หลายคน' ที่คาดว่า เฟดจะเข้าซื้อตราสารหนี้ต่อไปในปี 2014"
นายมิลเลอร์กล่าวว่า "เรามีความเชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์ แต่เราประสบความยากลำบากในการนำกรรมการ FOMC 'หลายคน', '2-3 คน' และ 'ราวครึ่งหนึ่ง' มารวมกันแล้วได้ตัวเลข 100 %"
นายเบอร์นันเก้กล่าวเมื่อวานนี้ว่า เฟดจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป เนื่องจากอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับต่ำ และอัตราการว่างงานที่ 7.6 % ได้"สะท้อนภาพตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งกว่าความเป็นจริง"
นายเบอร์นันเก้กล่าวว่า "สิ่งที่สำคัญคือการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฟดจำเป็น ต้องดำเนินนโยบายแบบผ่อนคลายมากเป็นพิเศษต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้"
เฟดดำเนิน QE ด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและหลักทรัพย์ที่ได้รับการค้ำประกันจากสัญญาจำนอง (MBS) ในอัตรา 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ต่อเดือนในขณะนี้ ขณะที่ตลาดการเงินโลกได้ประสบกับภาวะตื่นตระหนกเมื่อ นายเบอร์นันเก้กล่าวถึงแผนการยุติ QE แต่หลังจากนั้นตลาดโลกก็ฟื้นตัวขึ้น และนักลงทุนคลายความกังวลลง เนื่องจากกรรมการเฟดหลายคนพยายามสร้างความมั่นใจต่อนักลงทุนว่า การยุติ QE ไม่ได้หมายความว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆนี้
รายงานประชุมเฟดระบุว่า "กรรมการหลายคนระบุว่า การตัดสินใจ เรื่องอัตราและองค์ประกอบในการเข้าซื้อสินทรัพย์ เป็นสิ่งที่แตกต่างไปจากการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่เหมาะสม"
ขณะนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ตลาดการเงินปรับตัวรับสัญญาณดังกล่าวไปแล้วอย่างเต็มที่หรือไม่ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้น 1 % ในเวลาเพียงแค่ 2 เดือน และอยู่ ใกล้กับจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2011 ในช่วงนี้
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐประเภท 10 ปี พุ่งขึ้นจาก 1.6140 % ในวันที่ 1 พ.ค. สู่ 2.755 % ในวันที่ 8 ก.ค. และอยู่ที่ 2.674 % ในช่วงท้ายตลาดวานนี้ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวในทิศทางตรงข้ามกับราคาพันธบัตร
การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรส่งผลให้กิจกรรมในตลาดการจำนองชะลอตัวลง หลังจากที่ตลาดการจำนองเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนเศรษฐกิจสหรัฐให้ฟื้นตัวในช่วงที่ผ่านมา
รัฐบาลสหรัฐรายงานในวันที่ 5 ก.ค.ว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตรในสหรัฐเพิ่มขึ้น 195,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย. และรัฐบาลได้ปรับทบทวนตัวเลขการจ้างงานเดือนเม.ย.และพ.ค.ให้สูงขึ้นจากเดิมด้วย ส่วนอัตราการว่างงานทรงตัวที่ 7.6 % ในเดือนมิ.ย.
นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า การที่ตลาดแรงงานปรับตัวดีขึ้นเช่นนี้ มีแนวโน้มที่จะส่งผลให้เฟดปรับลดขนาด QE ลงในการประชุมเดือน ก.ย.
รายงานประชุมเฟดประจำวันที่ 18-19 มิ.ย.ระบุว่า เจ้าหน้าที่ เฟดบางคนกังวลต่อแนวโน้มด้านการจ้างงาน และกังวลกับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วย โดยนักเศรษฐศาสตร์หลายคนเชื่อว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจขยายตัวต่ำกว่า 1 % ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบรายปี ถึงแม้เศรษฐกิจสหรัฐอาจเติบโตเร็วขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
รายงานประชุมเฟดระบุว่า "เจ้าหน้าที่บางคนกล่าวเสริมว่า พวกเขาจำเป็นต้องได้เห็นหลักฐานเพิ่มเติมที่แสดงให้เห็นว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจทวีความเร็วขึ้นตามความคาดหมาย ก่อนที่พวกเขาจะตัดสินใจปรับลดอัตรา การเข้าซื้อสินทรัพย์"
(ข่าวจากสำนักข่าว รอยเตอร์)
T.Thammasak.