xs
xsm
sm
md
lg

ผู้เชี่ยวชาญเตือนหุ้นยุโรปไม่ได้มีราคาถูกเหมือนที่ตัวเลขระบุไว้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

          ตลาดหุ้นยุโรปดูเหมือนจะมีราคาอยู่ในระดับที่เหมาะสม แต่สิ่งนี้เป็นเพราะมูลค่าหุ้นโดยเฉลี่ยในยุโรปได้รับแรงกดดันจากหุ้นบางกลุ่มที่มีแนวโน้มย่ำแย่ และปัจจัยนี้บ่งชี้ว่านักลงทุนอาจจะประสบความยากลำบาก ในการเฟ้นหาหุ้นที่เหมาะสมสำหรับการเข้าช้อนซื้อ
          ดัชนี STOXX Europe 600 ที่ครอบคลุมหุ้นในวงกว้างในยุโรป พุ่งขึ้นราว 25 % จากเดือนมิ.ย.2012 และมีค่าพี/อี เรโชอยู่ที่ 12.7 เท่าของตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรสำหรับช่วงหนึ่งปีข้างหน้า โดยระดับดังกล่าวอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเพียงเล็กน้อย และอยู่ใกล้กับจุดสูงสุดรอบ 3 ปี
          อย่างไรก็ดี ถ้าหากไม่นำหุ้นกลุ่มพลังงาน, สาธารณูปโภค และโทรคมนาคม ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีผลกำไรต่ำมาคำนวณแล้ว หุ้นยุโรปก็จะมีราคาแพงในสายตาของนักลงทุน
          นายมาร์ค ฮาร์เกรฟส์ ผู้จัดการกองทุนแอกซ่า แฟรมลิงตัน ยูโรเปียน ฟันด์ กล่าวว่า "หุ้นยุโรปไม่ได้มีราคาถูกเหมือนอย่างที่ตัวเลขทั่วไประบุไว้ เพราะแม้ขณะนี้มีหุ้น 2-3 กลุ่มที่มีค่าพี/อี เรโชอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตเป็นอย่างมาก แต่ก็มีหุ้นหลายกุล่มที่มีราคาสูงกว่าค่าเฉลี่ยเป็นอย่างมาก"
          บริษัทกลุ่มสาธารณูปโภคเผชิญกับอุปสรรคทางกฎระเบียบและจากนักการเมืองในการขึ้นราคาค่าบริการ ขณะที่บริษัทกลุ่มพลังงานก็เผชิญปัญหาจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น และอนาคตของบริษัทกลุ่มนี้ก็ขึ้นอยู่กับ ราคาพลังงานในตลาดโลกและอุปสงค์ในน้ำมัน ส่วนบริษัทกลุ่มโทรคมนาคมเผชิญกับการแข่งขันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในการเปลี่ยนไปใช้เครือข่ายการสื่อสารเคลื่อนที่
          บริษัท 3 กลุ่มนี้มีตัวเลขคาดการณ์อัตราการเติบโตของผลกำไรประจำปี 2014 อยู่ในระดับต่ำสุดเมื่อเทียบกับบริษัทกลุ่มอื่นๆในดัชนี STOXX Europe 600 โดยบริษัททั้ง 3 กลุ่มมีแนวโน้มว่าจะมีผลกำไรเพิ่มขึ้นเพียง 2.7-5.9 % ในปี 2014 ในขณะที่บริษัทในดัชนี STOXX Europe 600 มีแนวโน้มว่าจะมีผลกำไรเติบโตขึ้นเฉลี่ย 13 %
          นายฮาร์เกรฟส์กล่าวว่า "ผมมีความกังวลเป็นอย่างมากต่อหุ้นทั้ง  3 กลุ่มนี้ โดยหุ้น 3 กลุ่มนี้ดูเหมือนจะมีค่าพี/อี เรโชอยู่ในระดับต่ำ หากมองอย่างผิวเผิน แต่ปัญหาก็คือว่าคุณอาจเผชิญกับกับดักมูลค่าหุ้น (การที่หุ้นราคาถูกมีราคาดิ่งลงต่อไปอีก) และผลกำไรที่มีแนวโน้มไม่แน่นอน"
          ขณะนี้มีบริษัท 240 แห่งในดัชนี STOXX Europe 600 ที่มีค่าพี/อี เรโชอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะ 10 ปี โดยจำนวน 240 แห่งนี้ถือว่าสูงเป็น 2 เท่าของระดับเมื่อหนึ่งปีก่อน
          ตัวเลขมูลค่าหุ้นโดยรวมในตลาดบ่งชี้ว่า นักลงทุนยังคงมีความเต็มใจที่จะซื้อหุ้นบริษัทที่มีกระแสเงินสดแข็งแกร่ง
          สัดส่วนราคาหุ้นต่อกระแสเงินสดบ่งชี้ว่า หุ้นยุโรปขณะนี้มีราคาแพงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 10 ปี โดยกระแสเงินสดถือเป็นมาตรวัดความแข็งแกร่งของบริษัทในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ
          ในทางตรงกันข้าม บริษัทยุโรปมีมูลค่าทางบัญชีอยู่ในระดับต่ำที่สุด โดยตัวเลขนี้คือราคาที่ทางบริษัทกำหนดให้กับสินทรัพย์ของตนเอง และทางบริษัทอาจจะปรับลดมูลค่าทางบัญชีของตนเองลงได้ในอนาคต โดยกลุ่มธนาคารมีมูลค่าทางบัญชีต่ำมาก เนื่องจากบัญชีสินเชื่อของธนาคารได้รับผลกระทบจากสถานะการเงินที่ย่ำแย่ลงของลูกหนี้
          มูลค่าหุ้นโดยเฉลี่ยไม่ได้สะท้อนความจริงที่ว่า ครั้งสุดท้ายที่ค่า พี/อี เรโชอยู่ในระดับนี้นั้น เศรษฐกิจยูโรโซนอยู่ในภาวะที่ดีกว่านี้มาก  โดยเศรษฐกิจในช่วงนั้นเติบโตอย่างต่อเนื่อง แทนที่จะหดตัวลงเหมือน อย่างในช่วงต้นปีนี้
          นายเควิน ลิลลีย์ ผู้จัดการกองทุนหุ้นยุโรปของบริษัทโอลด์ มิวชวล เอเอ็ม กล่าวว่า "ผมไม่คาดว่าค่าพี/อี เรโชจะพุ่งขึ้นมากนักในเวลาอันรวดเร็ว เพราะขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่ผลกำไรจำเป็นต้องเพิ่มขึ้น จึงจะสามารถทำให้ราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้นได้"
          สตาร์ไมน์ระบุว่า บริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที), อุตสาหกรรม และวัสดุ คือกลุ่มที่มีแนวโน้มว่าจะมีผลกำไรเติบโตขึ้นมากที่สุดในปีหน้า
          อย่างไรก็ดี บริษัท 3 กุล่มนี้จ่ายเงินปันผลต่ำกว่าค่าเฉลี่ย และอาจส่งผลให้บริษัทกลุ่มนี้ไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนที่หันมาลงทุนในหุ้น เพราะต้องการหลีกเลี่ยงพันธบัตรที่ให้อัตราผลตอบแทนต่ำ
          หุ้นยุโรปโดยรวมยังคงให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตร โดยอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของหุ้นในดัชนี STOXX 600 อยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเยอรมนีประเภทอายุ 10 ปีราว 1.6 % ซึ่งส่วนต่างนี้ถือว่าอยู่ใกล้กับจุดสูงสุดรอบ 15 ปี ถึงแม้ว่าส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนทั้งสองหดแคบลงเล็กน้อยในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
          นายลาร์ส เครกเคล นักยุทธศาสตร์การลงทุนหุ้นของบริษัทเลกัล แอนด์ เจเนอรัล อินเวสท์เมนท์ แมเนจเมนท์ กล่าวว่า "เมื่อคุณเริ่มพิจารณาเปรียบเทียบว่าคุณสามารถลงทุนในตลาดอื่นใดได้บ้าง เมื่อนั้นหุ้นก็จะเริ่มเป็นสิ่งที่น่าดึงดูดมากในสายตาของคุณ"
 
T.Thammasak
กำลังโหลดความคิดเห็น