- ยอดส่งออกของเยอรมนีเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 1.9% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า เป็นการสะท้อนว่าเศรษฐกิจเยอรมนีมีแนวโน้มดีขึ้นในไตรมาส 2 ของปีนี้ จากการขยายตัวของภาคการส่งออก และการฟื้นตัวของการค้าระหว่างประเทศ ขณะที่การใช้จ่ายของผู้บริโภคก็ปรับตัวดีขึ้น
- ธ.กลางเยอรมนี ลดประมาณการ GDP ปีนี้จาก 0.4% เหลือ 0.3% และปีหน้าจาก 1.9% เหลือ 1.4%เนื่องจากยังกังวลต่อสถานการณ์เศรษฐกิจในยูโรโซน ถึงแม้เศรษฐกิจยุโรปดูเหมือนจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่ยังคงมีปัญหาเชิงโครงสร้าง
- มูดีส์ เตือนว่า เศรษฐกิจประเทศแถบสแกนดิเนเวียกำลังเผชิญความเสี่ยงจากตลาดสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากปล่อยสินเชื่อเต็มราคาประเมินโดยผู้ซื้อไม่ต้องวางเงินดาวน์ ซึ่งจะสร้างความผันผวนและความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจได้ง่าย
- ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐเดือน พ.ค.เพิ่มขึ้น 175,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราว่างงานเพิ่มจาก 7.5% ในเดือน เม.ย.มาเป็น 7.6% ทำให้ตลาดคาดว่า FED น่าจะยังคงมาตรการ QE ไว้
- ประธาน FED สาขาฟิลาเดลเฟีย ให้ความเห็นว่า ควรเริ่มชะลอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และถึงเวลาแล้วที่FED จะเริ่มลดขนาดของแผนการซื้อพันธบัตรอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐกำลังปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น
- นายกรัฐมนตรี ชินโสะ อาเบะ ของญี่ปุ่น เปิดเผยว่า รัฐบาลจะดำเนินการให้งดเว้นภาษีการลงทุนของเอกชนให้เสร็จสิ้นภายในฤดูใบไม้ร่วงนี้ ซึ่งเป็นขั้นแรกของยุทธศาสตร์การขยายตัว เพื่อกระตุ้นกิจกรรมภาคเอกชนให้มากขึ้น
- รัฐบาลญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ภาคอุตสาหกรรมการผลิตสำคัญๆ กำลังอยู่ในช่วงที่ซบเซา เป็นผลจากเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นเป็นเวลานาน และจากสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งยังเกิดการขาดดุลทางการค้าในอุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือ และโทรทัศน์ ที่มีมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านเยนเมื่อปี 2555
- ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของจีนเดือน พ.ค. ลดลง 2.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกับของปีก่อน ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ขยายตัว 2.1% ลดลงจากเดือน เม.ย.ที่ขยายตัว 2.4%
- มูลค่าการค้าระหว่างประเทศของจีนเดือน พ.ค. ขยายตัวเพียง 0.4% ในขณะที่ขยายตัวถึง 15.7% ในเดือน เม.ย.ซึ่งเป็นการชะลอตัวมาก โดยมีสาเหตุมาจากการที่จีนออกกฎระเบียบใหม่เพื่อควบคุมการไหลเข้าของเงินทุนที่แฝงมาในรูปของการชำระเงินทางการค้า
- การส่งออกของมาเลเซียเดือน เม.ย. ลดลง 3.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะปริมาณส่งออกไปยังคู่ค้ารายใหญ่ลดลงในสินค้าประเภทน้ำมันดิบ ผลิตภัณฑ์สินค้าอิเล็คทรอนิกและเครื่องใช้ไฟฟ้า
- ผู้ว่าการ ธปท. เปิดเผยว่า ภาวะเงินทุนไหลออกในขณะนี้ยังไม่น่ากังวล แม้ว่าจะมีนักลงทุนต่างชาติขายออกในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรของไทย แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่นในพื้นฐานและแนวโน้มเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียรวมทั้งไทย เพราะเป็นกลุ่มประเทศที่มีแนวโน้มการเติบโตได้ดี (Growth Area) และเงินที่ไหลออกน่าจะยังไม่ไหลออกนอกประเทศ คาดว่ายังคงพักอยู่ในบัญชีผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศ (NR)
- มนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน เปิดเผยว่า สถานการณ์พลังงานของไทยในปัจจุบันมีความเสี่ยงต่อการขาดแคลนและยังขาดความมั่นคงด้านพลังงาน เนื่องจากเป็นประเทศผู้นำเข้าพลังงาน และมีแนวโน้มเพิ่มการนำเข้าขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ทรัพยากรในประเทศมีจำกัด ทั้งนี้ ก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยจะหมดไปภายใน15 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้ต้นทุนด้านพลังงานของประเทศจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าการขยายตัวรายได้ของประเทศ
- SET Index ปิดที่ 1,516.24 จุด เพิ่มขึ้น 26.03 จุด หรือ +1.75% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 52,002.95 ล้านบาท หลังจากวันก่อนหน้าที่ตลาดติดลบกว่า 2% จึงเริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นกลุ่มสื่อสาร กลุ่มพลังงานซึ่งตลาดยังคงมีความผันผวนเนื่องจากนักลงทุนยังคงติดตามเรื่อง QE ต่อไป ขณะที่ตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียยังคงเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวกและลบ สลับกันไป
- NIKKEI ปิดที่ระดับ 12,877.53 ลดลง -0.21% เป็นผลจากการเทขายของนักลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง จากแถลงข่าวของกองทุนบำเน็ญบำนาญข้าราชการญี่ปุ่น จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นจาก 11% เป็น 12% และลดสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้สกุลเงินเยนจาก 67% เหลือ 60%
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเคลื่อนไหวในช่วง 0.00% ถึง 0.03% มูลค่าการซื้อ 107,314 ล้านบาท