ASTVผู้จัดการรายวัน - ธปท.เผยตั้งแต่เดือนพ.ค.ที่ผ่านมาเงินทุนไหลออกทั้งในส่วนของตลาดหุ้น-พันธบัตร หลังต่างชาติทราบข่าวมาตรการดูแลเงินทุนไหลเข้าของทางการไทย ขณะที่ตัวเศรษฐกิจสหรัฐดี-เศรษฐกิจจีนแผ่ว ทำเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง ชี้ตอนนี้เงินทุนไหลเข้า-ออกไทย ขึ้นอยู่กับอาการเศรษฐกิจสหรัฐ-จีนเป็นหลัก ย้ำต่อไปยังผันผวนอีกมาก ระบุเศรษฐกิจจีนร่วงทำให้ความน่าสนใจเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียน้อยลง และอาจส่งผลให้ส่งออกไทยหดตัวอีก เพราะไทยส่งออกสินค้าไปจีนเยอะ คาดไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่ม เพราะนำเข้าสินค้ามาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ ซึ่งหวังช่วยแรงส่งเศรษฐกิจไทยต่อไป
นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ช่วงนี้เงินบาทอ่อนค่าเป็นผลจากเงินทุนไหลออกทั้งในส่วนของตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรไทย โดยตั้งแต่เดือนพ.ค.ที่ผ่านมาตลาดเริ่มเปลี่ยนเป็นผลจากข่าวเรื่องมาตรการดูแลเงินทุนไหลเข้าของไทย ยิ่งมีประกาศกระทรวงการคลังออกมา ทำให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มหวั่นไหวมากขึ้นว่าหากมีอะไรเกิดขึ้นก็พร้อมที่จะนำมาใช้ได้ทันที ตามมาด้วยเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มดีขึ้นและการชะลอตัวเศรษฐกิจจีน ทำให้เงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง
“ขณะนี้ผู้นำเข้าและคนไทยมีการซื้อดอลลาร์ไปลงทุน ขณะที่ผู้ส่งออกมีแรงขายออกมาบ้าง แต่โดยรวมแรงซื้อเงินดอลลาร์มากกว่าแรงขาย จึงเริ่มมีเงินไหลออกไปตั้งแต่เดือนพ.ค.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้ปัจจัยภายนอกมีผลต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายมากขึ้น ซึ่งอาการขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจสหรัฐและจีนมากกว่า เพราะภาพเศรษฐกิจไทยยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมาก
จึงต้องติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด และต่อไปเชื่อว่าความผันผวนยังมีอยู่เยอะ”รองผู้ว่าการธปท.กล่าวและว่าธปท.ไม่ได้กังวลที่เงินทุนไหลออก เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่งที่เงินบาทแข็งเกินไปหรือเร็วเกินไป ตลาดก็รู้ว่าไปต่อไม่ได้
โดยช่วงนี้ตลาดมองว่ามีความเป็นไปได้ที่สหรัฐจะลดขนาดการดำเนินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ(QE) เพราะเริ่มเห็นสัญญาณเศรษฐกิจของสหรัฐชัดเจนขึ้น ทำให้ตลาดกลับไปลงทุนในสหรัฐมากขึ้น ทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายเข้ามาเริ่มชะลอตัวถึงจุดหนึ่งก็กลับออกไปเข้าลงทุนในสหรัฐ นอกจากนี้ ตลาดมองว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนอาจจะเป็นเรื่องจริง จากที่ขยายตัวในอัตรา 7.7%ในไตรมาสแรก จึงคาดว่าไตรมาสต่อไปอาจจะต่ำกว่านี้ ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจจีนชะลอลงก็มีผลต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้และมีผลต่อการส่งออกไทยค่อนข้างมาก เพราะมีการเชื่อมโยงเศรษฐกิจ
“การขยายตัวเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียอาจจะลดทอนจากที่เคยคิดว่าดี โดยราคาสินทรัพย์ต่างๆ ในเอเชียอาจจะแพงเกินไปจากก่อนหน้านี้ สำหรับภาพเศรษฐกิจใหม่ เมื่อเข้ามาดูเชิงเปรียบเทียบผลตอบแทน ซึ่งขณะนี้โลกตะวันตกผลตอบแทนเริ่มปรับขึ้น ทำให้ความน่าสนใจสินทรัพย์ในภูมิภาคนี้ลดน้อยลง”
อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คงจะถอนหรือไม่คงขนาดของมาตรการ QE ไปอีกระยะหนึ่ง แต่ภาพที่จะเพิ่มคงไม่มีแล้ว แต่สุดท้ายจะดำเนินการเช่นไรคงพิจารณาจากตัวเลขใหม่ๆ ที่เข้ามาเป็นช่วงเวลาเป็นสำคัญ เพราะหากแตะเบรกเร็วไปก็มีความเสี่ยงในการถอนและถ้าอัดฉีดใหม่ก็คงยาก ส่วนประเด็นที่ญี่ปุ่นประกาศกระตุ้นเศรษฐกิจก็มีผลให้มีเงินทุนไหลเข้าไทยมาบ้างประมาณ 200-300 ล้านเหรียญสหรัฐ เฉพาะในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา แต่เชื่อว่าจะมีเงินทุนไหลกลับเข้าญี่ปุ่นมากขึ้น เพราะตลาดหุ้นปรับตัวดีขึ้นมาก ประกอบกับหากมาตรการของญี่ปุ่นได้ผลจะส่งผลให้ธุรกิจมีกำไรมากขึ้น
รองผู้ว่าการธปท. กล่าวว่า ในระยะต่อไปไทยน่าจะมีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมากขึ้น จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ รวมถึงหากการลงทุนภาคเอกชนร่วมด้วย ทำให้มีการนำเข้ามากขึ้น ขณะที่ภาคการส่งออกคงตามกระแสตลาดโลกที่คงทรงตัวหรือไม่ดีบ้างในบางช่วง อย่างไรก็ตาม การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดนี้พอเข้าใจได้ว่าเกิดจากการลงทุนของประเทศ
เพื่อความเจริญเติบโตในวันข้างหน้า นอกจากนี้ ธปท.หวังว่าหากรัฐดำเนินโครงการลงทุนตามจำนวน จังหวะเวลาตามแผนที่วางไว้จะเป็นแรงส่งเศรษฐกิจไทยในอนาคต
กรณีที่ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งล่าสุดประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ทำให้ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.50% แต่สถาบันการเงินในระบบยังไม่ได้ลดอัตราดอกเบี้ยตามนั้น นางผ่องเพ็ญ กล่าวว่า ขณะนี้อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินบางส่วนเริ่มลดลงแล้วบ้างไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมระหว่างธนาคาร(Interbank) อัตราดอกเบี้ย Swap รวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมระยะสั้น เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์คงต้องรอดูอีกสักระยะ เพราะธนาคารแต่ละแห่งต้องประเมินต้นทุนและโครงสร้างก่อน.
นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ช่วงนี้เงินบาทอ่อนค่าเป็นผลจากเงินทุนไหลออกทั้งในส่วนของตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรไทย โดยตั้งแต่เดือนพ.ค.ที่ผ่านมาตลาดเริ่มเปลี่ยนเป็นผลจากข่าวเรื่องมาตรการดูแลเงินทุนไหลเข้าของไทย ยิ่งมีประกาศกระทรวงการคลังออกมา ทำให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มหวั่นไหวมากขึ้นว่าหากมีอะไรเกิดขึ้นก็พร้อมที่จะนำมาใช้ได้ทันที ตามมาด้วยเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มดีขึ้นและการชะลอตัวเศรษฐกิจจีน ทำให้เงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง
“ขณะนี้ผู้นำเข้าและคนไทยมีการซื้อดอลลาร์ไปลงทุน ขณะที่ผู้ส่งออกมีแรงขายออกมาบ้าง แต่โดยรวมแรงซื้อเงินดอลลาร์มากกว่าแรงขาย จึงเริ่มมีเงินไหลออกไปตั้งแต่เดือนพ.ค.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้ปัจจัยภายนอกมีผลต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายมากขึ้น ซึ่งอาการขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจสหรัฐและจีนมากกว่า เพราะภาพเศรษฐกิจไทยยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมาก
จึงต้องติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด และต่อไปเชื่อว่าความผันผวนยังมีอยู่เยอะ”รองผู้ว่าการธปท.กล่าวและว่าธปท.ไม่ได้กังวลที่เงินทุนไหลออก เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่งที่เงินบาทแข็งเกินไปหรือเร็วเกินไป ตลาดก็รู้ว่าไปต่อไม่ได้
โดยช่วงนี้ตลาดมองว่ามีความเป็นไปได้ที่สหรัฐจะลดขนาดการดำเนินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ(QE) เพราะเริ่มเห็นสัญญาณเศรษฐกิจของสหรัฐชัดเจนขึ้น ทำให้ตลาดกลับไปลงทุนในสหรัฐมากขึ้น ทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายเข้ามาเริ่มชะลอตัวถึงจุดหนึ่งก็กลับออกไปเข้าลงทุนในสหรัฐ นอกจากนี้ ตลาดมองว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนอาจจะเป็นเรื่องจริง จากที่ขยายตัวในอัตรา 7.7%ในไตรมาสแรก จึงคาดว่าไตรมาสต่อไปอาจจะต่ำกว่านี้ ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจจีนชะลอลงก็มีผลต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้และมีผลต่อการส่งออกไทยค่อนข้างมาก เพราะมีการเชื่อมโยงเศรษฐกิจ
“การขยายตัวเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียอาจจะลดทอนจากที่เคยคิดว่าดี โดยราคาสินทรัพย์ต่างๆ ในเอเชียอาจจะแพงเกินไปจากก่อนหน้านี้ สำหรับภาพเศรษฐกิจใหม่ เมื่อเข้ามาดูเชิงเปรียบเทียบผลตอบแทน ซึ่งขณะนี้โลกตะวันตกผลตอบแทนเริ่มปรับขึ้น ทำให้ความน่าสนใจสินทรัพย์ในภูมิภาคนี้ลดน้อยลง”
อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คงจะถอนหรือไม่คงขนาดของมาตรการ QE ไปอีกระยะหนึ่ง แต่ภาพที่จะเพิ่มคงไม่มีแล้ว แต่สุดท้ายจะดำเนินการเช่นไรคงพิจารณาจากตัวเลขใหม่ๆ ที่เข้ามาเป็นช่วงเวลาเป็นสำคัญ เพราะหากแตะเบรกเร็วไปก็มีความเสี่ยงในการถอนและถ้าอัดฉีดใหม่ก็คงยาก ส่วนประเด็นที่ญี่ปุ่นประกาศกระตุ้นเศรษฐกิจก็มีผลให้มีเงินทุนไหลเข้าไทยมาบ้างประมาณ 200-300 ล้านเหรียญสหรัฐ เฉพาะในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา แต่เชื่อว่าจะมีเงินทุนไหลกลับเข้าญี่ปุ่นมากขึ้น เพราะตลาดหุ้นปรับตัวดีขึ้นมาก ประกอบกับหากมาตรการของญี่ปุ่นได้ผลจะส่งผลให้ธุรกิจมีกำไรมากขึ้น
รองผู้ว่าการธปท. กล่าวว่า ในระยะต่อไปไทยน่าจะมีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมากขึ้น จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ รวมถึงหากการลงทุนภาคเอกชนร่วมด้วย ทำให้มีการนำเข้ามากขึ้น ขณะที่ภาคการส่งออกคงตามกระแสตลาดโลกที่คงทรงตัวหรือไม่ดีบ้างในบางช่วง อย่างไรก็ตาม การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดนี้พอเข้าใจได้ว่าเกิดจากการลงทุนของประเทศ
เพื่อความเจริญเติบโตในวันข้างหน้า นอกจากนี้ ธปท.หวังว่าหากรัฐดำเนินโครงการลงทุนตามจำนวน จังหวะเวลาตามแผนที่วางไว้จะเป็นแรงส่งเศรษฐกิจไทยในอนาคต
กรณีที่ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งล่าสุดประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ทำให้ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.50% แต่สถาบันการเงินในระบบยังไม่ได้ลดอัตราดอกเบี้ยตามนั้น นางผ่องเพ็ญ กล่าวว่า ขณะนี้อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินบางส่วนเริ่มลดลงแล้วบ้างไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมระหว่างธนาคาร(Interbank) อัตราดอกเบี้ย Swap รวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมระยะสั้น เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์คงต้องรอดูอีกสักระยะ เพราะธนาคารแต่ละแห่งต้องประเมินต้นทุนและโครงสร้างก่อน.