“ศิธา” สั่ง ผอ.สุวรรณภูมิทบทวนระบบรักษาความปลอดภัย จ่อเพิ่ม CCTV ในจุดอับ ปรับระบบตรวจภาพย้อนกลับให้เชื่อมโยงกันรวดเร็วขึ้น ชี้บทเรียนผู้ต้องหาเยอรมันหนี คาดคนร้ายรู้ระบบปลดล็อกประตูหนีไฟ ยันไม่มีคนช่วยเหลือแน่ ด้าน “ภาณุ” มั่นใจตามตัวได้เร็วๆ นี้ ชี้เจ้าหน้าที่ออสเตรเลียไม่แจ้งว่าพาผู้ต้องหาเดินทางมาด้วย ทำให้เกิดเรื่อง
น.ต.ศิธา ทิวารี ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดเผยว่า กรณีชายชาวเยอรมันผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์ในประเทศออสเตรเลียได้หลบหนีช่วงรอเปลี่ยนเครื่องที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมานั้น ได้สั่งให้ ระวีวรรณ เนตระคเวสนะ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิทบทวนขั้นตอนการปฎิบัติงานในทุกขั้นตอน และพิจารณาพื้นที่จุดอับที่กล้อง CCTV ไม่ครอบคลุม พร้อมกับหาแนวทางปรับระบบล็อกของประตูหนีไฟซึ่งมีกว่า 300 ประตูทั่วสนามบินให้รัดกุมมากขึ้น และปรับระบบการตรวจสอบภาพจาก CCTV แบบย้อนหลังให้มีการเชื่อมโยงกันทั้งหมด (syncnronize) เพื่อให้การสืบค้นทำได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น ยืนยันว่ากรณีที่เกิดขึ้นไม่มีเจ้าหน้าที่ให้ความช่วยเหลือผู้ต้องหาแน่นอน เพราะจากการตรวจสอบภาพจาก CCTV พบว่าคนร้ายได้เปิดประตูหนีไฟโดยตัดสายไฟที่เป็นเส้นปลดล็อกประตูเอง ทำให้ระบบแจ้งเตือนไม่ทำงาน
“ภาพที่ได้จากกล้อง CCTV พบว่าคนร้ายไล่เปิดประตูหนีไฟไปเรื่อยๆ ซึ่งประตูที่หนีออกไปเป็นแบบกระจก โดยการเปิดประตูตามระบบรักษาความปลอดภัยต้องใช้คีย์การ์ดเพื่อปลดตัวล็อกประตู แต่คาดว่าคนร้ายน่าจะมีความรุู้จึงใช้วิธีงัดกล่องและเลือกตัดสายไฟเส้นที่เป็นตัวปลดล็อกประตูได้อย่างถูกต้อง จึงทำให้สัญญาณเตือนไม่ดังและหลบหนีออกไปได้ ในขณะที่ประตูหนีไฟของสนามบินจะทำให้มีความแข็งแรงมากก็ไม่เหมาะสมเพราะสนามบินไม่ใช่สถานที่กักกันหรือห้องขัง ดังนั้น เป็นไปได้ก็อาจจะต้องติดตั้งกล้อง CCTV ในจุดที่ยังไม่ทั่วถึงเพิ่มเติม” น.ต.ศิธากล่าว
ด้าน พล.ต.ท.ภาณุ เกิดลาภผล ผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) และในฐานะกรรมการบอร์ด ทอท.กล่าวว่า กรณีดังกล่าวต้องยอมรับว่าสาเหตุหนึ่งเป็นความผิดพลาดของทางเจ้าหน้าที่ออสเตรเลียที่ไม่แจ้งข้อมูลของผู้ต้องหามาก่อน ทำให้บุคคลดังกล่าวเดินทางมาโดยมีลักษณะเป็นนักท่องเที่ยวทั่วไป จึงไม่เป็นที่สังเกต และระหว่างรอเปลี่ยนเครื่องได้อยู่ในห้องพักต่อเครื่องปกติ ยืนยันว่าหากทางเจ้าหน้าที่ออสเตรเลียแจ้งว่าจะมีผู้ต้องหาเดินทางมาเปลี่ยนเครื่องที่ไทยจะมีมาตรการดูแลและมีห้องกักแยกบุคคลออกจากผู้โดยสารปกติทั่วไปอย่างชัดเจน
ซึ่งภาพจากกล้อง CCTV คนร้ายใช้เวลาอยู่ในสนามบินสุวรรณภูมิถึง 30 ชั่วโมง ซึ่งคาดว่าเร็วๆ นี้จะมีความคืบหน้าในการติดตามตัวผู้ต้องหา โดยได้ขอความร่วมมือกับแท็กซี่และรถสาธารณะใกล้จุดที่อยู่ใกล้ๆ โดยกระจายรูปของผู้ต้องหาออกไปแล้ว ล่าสุดเจ้าหน้าที่จากสถานทูตออสเตรเลียได้มาพบและยอมรับว่าเหตุที่เกิดขึ้นมาจากความประมาทของเจ้าหน้าที่ ซึ่งข้อมูลที่ได้รับคือผู้ต้องหาคนดังกล่าวไม่ได้แสดงท่าทีหรือมีแรงจูงใจที่จะหลบหนี เพราะแจ้งว่าต้องการกลับไปยังแฟรงก์เฟิร์ตเพื่อพบกับแม่และไม่มีเงิน จึงคาดว่าการหลบหนีดังกล่าวเกิดจากความคิดชั่ววูบ และผู้ต้องหาไม่เคยเดินทางเข้ามาประเทศไทย จึงเชื่อว่าไม่น่าจะรู้จักหรือมีแหล่งพักพิงในไทย
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ทอท.อยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินโครงการติดตั้งระบบตรวจสอบและคัดกรองผู้โดยสารล่วงหน้า (Advance Passenger Processing System : APPS) ซึ่งไทยจะเป็นประเทศแรกในเอเชียที่มีระบบดังกล่าว โดยจะสามารถตรวจสอบรายละเอียดของผู้โดยสารได้ล่วงหน้าก่อนที่จะขึ้นเครื่องมาจากต้นทาง หากพบเป็นบุคคลต้องห้ามสามารถแจ้งระงับการเดินทางเข้ามาได้ทันที จากปัจจุบันที่จะรู้ข้อมูลก็ต่อเมื่อผู้โดยสารเดินทางมาถึงไทยแล้ว คาดว่าจะติดตั้งระบบแล้วเสร็จในอีก 6 เดือน ล่าช้าจากเดิมที่คาดว่าจะใช้ระบบได้ในเดือนสิงหาคมนี้ โดยจะเรียกเก็บค่าบริการข้อมูลล่วงหน้าจากผู้โดยสารคนละประมาณ 1 เหรียญสหรัฐโดยบวกเพิ่มในราคาตั๋วโดยสาร