ASTVผู้จัดการรายวัน - “ชัชชาติ”สั่งยกเครื่องระบบรักษาความปลอดภัยสนามบินสุวรรณภูมิ อุดช่องโหว่ทุกจุด พร้อมจี้ทอท.เร่งสอบสวนหาต้นตอของความผิดพลาดที่ทำให้หนุ่มเยอรมันหนีออกจากสนามบินโดยไม่ผ่านการตรวจสอบใดๆ ผู้การตม.ล่าฝรั่งหนีสุวรรณภูมิ
จากเหตุการณ์ที่นายคาร์โล คอนแสตนติน โคห์ล (Carlo Konstantin Kohl) สัญชาติเยอรมัน อายุ 25 ปี ผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์ในประเทศออสเตรเลีย ได้หลบหนีช่วงรอเปลี่ยนเครื่องที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมานั้น
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเปิดเผยว่า กรณีที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่น่าตกใจและถือเป็นอันตรายมาก ที่มีบุคคลสามารถออกจากสนามบินได้โดยไม่ผ่านการตรวจของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ซึ่งเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 28 พฤษภาคมได้สั่งการให้ นายพงศ์ศักติฐ์ เสมสันต์ กรรมการและรักษาการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.ตรวจสอบหาสาเหตุโดยเร่งด่วน
โดยประเด็นที่ทอท.ต้องสอบสวนมี 2 ประเด็นหลักๆ คือ 1.เกิดจากความผิดพลาดทางเทคนิคหรือไม่ ที่ทำให้มีช่องโหว่จนใครก็ตามสามารถที่จะตัดสายไฟและหยุดการทำงานของระบบรักษาความปลอดภัยได้ ซึ่งจากรายงานข่าวระบุว่า ใช้ประตูหนีไฟหลบหนี ซึ่งตามหลักการเมื่อมีการเปิดประตูหนีไฟ จะมีสัญญาณเตือนดังขึ้น แต่ทำไมครั้งนี้มีการเปิดประตูแล้วแต่สัญญาณกลับไม่ดัง
หรือ 2.เกิดจากมีบุคคลเข้ามาให้ความช่วยเหลือในการหลบหนีหรือไม่ ซึ่งตามข้อเท็จจริง คนนอกไม่น่าจะรู้เส้นทางของสนามบินอย่างละเอียดจนสามารถหนีออกไปได้โดยไม่ถูกจับ ซึ่งถ้าเป็นกรณีที่มีบุคคลเข้าไปเกี่ยวข้องต้องสืบหาให้ได้ว่าเป็นคนของหน่วยงานไหน
“ทุกอย่างต้องสืบหาได้ เพราะสนามบินมีกล้อง CCTV อยู่ทุกจุด และภายในสัปดาห์นี้ ผมจะไปดูจุดเกิดเหตุด้วยตัวเองว่าเส้นทางที่มีการใช้หลบหนีออกไปนั้นเป็นอย่างไร เพราะจะทำให้รู้ว่าระบบรักษาความปลอดภัยของสนามบินสุวรรณภูมิมีช่องโหว่ตรงไหน เพื่อปรับปรุงใหม่ให้รัดกุมขึ้น”นายชัชชาติกล่าว
พล.ต.ต.สุวิชญ์พล อิ่มใจรัตน์ ผบก.ตม.2 กล่าวถึงกรณี เหตุการณ์ที่นายคาร์โล คอนสแตนติน โคห์ล อายุ 25 ปี ชาวเยอรมัน ที่หลบหนีเข้าประเทศไทยระหว่างรอเปลี่ยนเครื่องบิน ผ่านทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด้วยวิธีตัดระบบสายไฟบริเวณคองคอร์ด จี ของสนามบิน ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค. 56 ที่ผ่านมา ว่า นายคาร์โลไม่ใช่ผู้ร้ายข้ามแดน และไม่ได้เป็นบุคคลต้องห้ามเข้าประเทศ แต่เป็นคนที่ถูกทางการออสเตรเลีย ส่งกลับประเทศเยอรมนี เนื่องจากถูกดำเนินคดีในประเทศออสเตรเลีย และได้พ้นโทษออกมาแล้ว จึงต้องส่งกลับ โดยมีตำรวจออสเตรเลียคุมตัวไปส่งที่เมืองแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี
แต่ระหว่างรอเปลี่ยนเครื่อง กลับหลบหนีออกจากสุวรรณภูมิ ทางตำรวจที่คุมตัวมา จึงประสานตำรวจไทยเพื่อติดตามตัวกลับประเทศ ซึ่งในส่วนของบก.ตม.2 ได้มอบหมายให้ฝ่ายพิธีการเข้าเมือง ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ไปดำเนินการแจ้งความยัง สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อดำเนินคดีแก่นายคาร์โล ในข้อหาหลบหนีเข้าเมือง เนื่องจากออกจากสนามบินไปแล้วถือว่าผิดกฎหมายไทย รวมทั้งประสานไปยังตม.ทั่วประเทศ เพื่อช่วยกันติดตามจับกุมตัวนายคาร์โล ต่อไป
ด้านน.อ.สมัย จันทร รอง ผอ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (สายปฏิบัติการ) กล่าวว่า จากนี้ทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จะเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสายการบิน ตำรวจและฝ่ายรักษาความปลอดภัย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำและเพิ่มความเข้มงวดในการรักษาความปลอดภัยรวมทั้งช่วยกันหามาตรการดูแลให้รัดกุมมากยิ่งขึ้น ส่วนบริเวณที่ถูกตัดระบบสายไฟนั้นเจ้าหน้าที่ดำเนินการแล้วเสร็จแล้ว
จากเหตุการณ์ที่นายคาร์โล คอนแสตนติน โคห์ล (Carlo Konstantin Kohl) สัญชาติเยอรมัน อายุ 25 ปี ผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์ในประเทศออสเตรเลีย ได้หลบหนีช่วงรอเปลี่ยนเครื่องที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมานั้น
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเปิดเผยว่า กรณีที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่น่าตกใจและถือเป็นอันตรายมาก ที่มีบุคคลสามารถออกจากสนามบินได้โดยไม่ผ่านการตรวจของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ซึ่งเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 28 พฤษภาคมได้สั่งการให้ นายพงศ์ศักติฐ์ เสมสันต์ กรรมการและรักษาการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.ตรวจสอบหาสาเหตุโดยเร่งด่วน
โดยประเด็นที่ทอท.ต้องสอบสวนมี 2 ประเด็นหลักๆ คือ 1.เกิดจากความผิดพลาดทางเทคนิคหรือไม่ ที่ทำให้มีช่องโหว่จนใครก็ตามสามารถที่จะตัดสายไฟและหยุดการทำงานของระบบรักษาความปลอดภัยได้ ซึ่งจากรายงานข่าวระบุว่า ใช้ประตูหนีไฟหลบหนี ซึ่งตามหลักการเมื่อมีการเปิดประตูหนีไฟ จะมีสัญญาณเตือนดังขึ้น แต่ทำไมครั้งนี้มีการเปิดประตูแล้วแต่สัญญาณกลับไม่ดัง
หรือ 2.เกิดจากมีบุคคลเข้ามาให้ความช่วยเหลือในการหลบหนีหรือไม่ ซึ่งตามข้อเท็จจริง คนนอกไม่น่าจะรู้เส้นทางของสนามบินอย่างละเอียดจนสามารถหนีออกไปได้โดยไม่ถูกจับ ซึ่งถ้าเป็นกรณีที่มีบุคคลเข้าไปเกี่ยวข้องต้องสืบหาให้ได้ว่าเป็นคนของหน่วยงานไหน
“ทุกอย่างต้องสืบหาได้ เพราะสนามบินมีกล้อง CCTV อยู่ทุกจุด และภายในสัปดาห์นี้ ผมจะไปดูจุดเกิดเหตุด้วยตัวเองว่าเส้นทางที่มีการใช้หลบหนีออกไปนั้นเป็นอย่างไร เพราะจะทำให้รู้ว่าระบบรักษาความปลอดภัยของสนามบินสุวรรณภูมิมีช่องโหว่ตรงไหน เพื่อปรับปรุงใหม่ให้รัดกุมขึ้น”นายชัชชาติกล่าว
พล.ต.ต.สุวิชญ์พล อิ่มใจรัตน์ ผบก.ตม.2 กล่าวถึงกรณี เหตุการณ์ที่นายคาร์โล คอนสแตนติน โคห์ล อายุ 25 ปี ชาวเยอรมัน ที่หลบหนีเข้าประเทศไทยระหว่างรอเปลี่ยนเครื่องบิน ผ่านทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด้วยวิธีตัดระบบสายไฟบริเวณคองคอร์ด จี ของสนามบิน ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค. 56 ที่ผ่านมา ว่า นายคาร์โลไม่ใช่ผู้ร้ายข้ามแดน และไม่ได้เป็นบุคคลต้องห้ามเข้าประเทศ แต่เป็นคนที่ถูกทางการออสเตรเลีย ส่งกลับประเทศเยอรมนี เนื่องจากถูกดำเนินคดีในประเทศออสเตรเลีย และได้พ้นโทษออกมาแล้ว จึงต้องส่งกลับ โดยมีตำรวจออสเตรเลียคุมตัวไปส่งที่เมืองแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี
แต่ระหว่างรอเปลี่ยนเครื่อง กลับหลบหนีออกจากสุวรรณภูมิ ทางตำรวจที่คุมตัวมา จึงประสานตำรวจไทยเพื่อติดตามตัวกลับประเทศ ซึ่งในส่วนของบก.ตม.2 ได้มอบหมายให้ฝ่ายพิธีการเข้าเมือง ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ไปดำเนินการแจ้งความยัง สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อดำเนินคดีแก่นายคาร์โล ในข้อหาหลบหนีเข้าเมือง เนื่องจากออกจากสนามบินไปแล้วถือว่าผิดกฎหมายไทย รวมทั้งประสานไปยังตม.ทั่วประเทศ เพื่อช่วยกันติดตามจับกุมตัวนายคาร์โล ต่อไป
ด้านน.อ.สมัย จันทร รอง ผอ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (สายปฏิบัติการ) กล่าวว่า จากนี้ทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จะเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสายการบิน ตำรวจและฝ่ายรักษาความปลอดภัย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำและเพิ่มความเข้มงวดในการรักษาความปลอดภัยรวมทั้งช่วยกันหามาตรการดูแลให้รัดกุมมากยิ่งขึ้น ส่วนบริเวณที่ถูกตัดระบบสายไฟนั้นเจ้าหน้าที่ดำเนินการแล้วเสร็จแล้ว
