ASTVผู้จัดการรายวัน - “ประชัย” ลั่นเดินหน้าโรงปูนซีเมนต์ไลน์ 4 ให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปีข้างหน้า เพื่อรองรับความต้องการใช้ปูนในไทยและอาเซียนที่เพิ่มสูงขึ้น มั่นใจผลดำเนินงานปีนี้ดีกว่าปีก่อน หลังจากทิศทางอุตสาหกรรมปิโตรเคมีดีขึ้น
นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) (TPIPL) เปิดเผยความคืบหน้าโครงการขยายโรงปูนซีเมนต์สายการผลิตที่ 4 เงินลงทุน 1.1 หมื่นล้านบาทว่า ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ใน 3 ปีข้างหน้าจะโตอย่างต่อเนื่อง หากไม่มีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติมเชื่อว่าไทยจะไม่มีปูนเหลือส่งออกและอาจเกิดการขาดแคลนปูนซีเมนต์ได้ ดังนั้น บริษัทฯ จึงมีแผนที่จะเร่งดำเนินการก่อสร้างโรงปูนไลน์ 4 ให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปีข้างหน้า เร็วขึ้นกว่ากำหนดการเดิมที่จะเสร็จภายใน 3 ปีข้างหน้า เพื่อรองรับความต้องการใช้ปูนทั้งในและต่างประเทศ
แหล่งเงินทุนเพื่อใช้ในการขยายธุรกิจนั้นไม่มีปัญหา เนี่องจากกลุ่มทุนเบลเยียมได้สนับสนุนการปล่อยกู้เฉพาะเครื่องจักรโรงปูนไลน์ที่ 4 จำนวน 150 ล้านยูโร และมีกระแสเงินสดจาการดำเนินงานและกู้ยืมจากสถาบันการเงินด้วย โดยอัตราหนี้สินต่อทุนของบริษัทฯต่ำมาก 0.17 เท่า ณ สิ้นปี 2555
ก่อนหน้านี้ บริษัทฯมีแผนขยายโรงปูนสายการผลิตที่ 4 แต่เกิดปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ทำให้โครงการดังกล่าวหยุดชะงักไป มีผลให้ซัปพลายเออร์เครื่องจักรได้ยื่นฟ้องทีพีไอโพลีนเทียบเท่าเงิน 47 ล้านยูโร เนื่องจากไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาซื้อและติดตั้งเครื่องจักรได้ ทำให้เป็นคดีความกันอยู่ในศาลฎีกา จนกระทั่งวันที่ 15 มี.ค. บริษัทได้ลงนามสัญญาซื้อและติดตั้งเครื่องจักรการผลิตปูนไลน์ 4 ฉบับใหม่กับซัปพลายเออร์ดังกล่าวเป็นเงิน 154.5 ล้านยูโร โดยเพิ่มกำลังการผลิตปูนจากเดิม 8 พันตัน/วันเป็น 1 หมื่นตัน/วัน หรือประมาณ 4 ล้านตัน/ปีจากปัจจุบันที่ผลิตอยู่ 9 ล้านตัน/ปี ทำให้ข้อพิพาทสิ้นสุดลงเนื่องจากบริษัทได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขก่อนสัญญาได้ ทำให้สัญญาซื้อและติดตั้งเครื่องจักรฉบับใหม่ดังกล่าวมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 56
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ มีแผนตั้งโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังความร้อนจากโรงปูนไลน์ 4 และขยะมาผลิตไฟฟ้าอีก 90 เมกะวัตต์จากปัจจุบันที่มีการผลิตไฟฟ้าอยู่แล้ว 60 เมกะวัตต์ คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 4-5 พันล้านบาท ซึ่งไฟฟ้าที่ผลิตได้ 60 เมกะวัตต์จะขายเข้าระบบการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่เหลือจะใช้ในโรงงานเอง รวมทั้งการผลิตกระเบื้องปูนพื้นและไฟเบอร์ซีเมนต์ที่น่าจะผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในปลายปีนี้
นายประชัยกล่าวต่อไปว่า ในปีนี้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ จะดีกว่าปีที่แล้วที่มีรายได้จากการขาย 2.63 หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิ 248 ล้านบาท เนื่องจากภาครัฐมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั้งรถไฟฟ้า และการก่อสร้างของภาคเอกชน ทำให้ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์เติบโต 7-10% ธุรกิจปิโตรเคมีดีขึ้น โดยปีที่แล้วราคาเม็ดพลาสติกอ่อนตัวลงมากจากปัญหาหนี้สินในยุโรป ขณะเดียวกัน ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเป็นโอกาสที่ดีในการขยายกำลังการผลิตโดยสั่งซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ได้ราคาต่ำลง ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยต่ำลงด้วย
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ปูนหลากหลายชนิด รวมทั้งต่อยอดผลิตภัณฑ์เป็นกระเบื้องมุงหลังคาไฟเบอร์ซีเมนต์ในราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่งด้วย ทำให้รับรู้รายได้เพิ่มขึ้น
ส่วนความคืบหน้าการโครงการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในจังหวัดชัยภูมินั้น บริษัทฯ มีแผนจะเจาะหลุมสำรวจในปลายปีนี้ หลังพบว่าในพื้นที่ดังกล่าวมีโอกาสพบก๊าซฯ และน้ำมัน หลังจากนั้นจะประเมินศักยภาพของแหล่งว่าคุ้มที่จะลงทุนสำรวจและพัฒนาต่อไปหรือไม่อย่างไร
นายประมวล เลี่ยวไพรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ ได้หันมาผลิตเม็ดพลาสติกเกรดพิเศษแทนการผลิตเม็ดพลาสติกเกรดทั่วไปมาเป็นเวลานาน 5 ปีที่ผ่านมา โดยไม่ได้ลงทุนขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติม แต่อาศัยปรับปรุงเครื่องจักร จนปัจจุบันสามารถผลิตเม็ดพลาสติกที่ใช้ในการทำแผงโซลาร์เซลล์ได้ โดยยอมรับว่าปีที่ผ่านมา ผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์ประสบปัญหาการขาดทุน เนื่องจากยุโรปในฐานะลูกค้ารายใหญ่ประสบประสบปัญหาเศรษฐกิจ ทำให้ราคาเม็ดพลาสติกแย่ลงเช่นกัน แต่เชื่อว่าเป็นปัญหาชั่วคราว เนื่องจากทั่วโลกให้ความสนใจการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนทั้งพลังงานแสงอาทิตย์และลม ซึ่งมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังพัฒนาผลิตเม็ดพลาสติกที่นำไปผลิตเป็นกาวเพื่อใช้ในหลายอุตสาหกรรมทั้งเฟอร์นิเจอร์ และในอนาคตจะนำกาวไปผสมกับปูนออกเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่บุกตลาดในอนาคต