ไบโอคอสวางยุทธศาสตร์บุกทั้งในและต่างประเทศรับมือเออีซีธุรกิจบริการความงามแข่งเดือด ต่างชาติตบเท้าแห่เข้าปักธงในไทย ลั่น 1-2 ปีสยายปีกธุรกิจลาว พม่า มาเลเซีย ผนึกอัลโกเธิร์มร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ หวังทะลวงสาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปั้นไวเทนนิ่งเจาะสาวไทยปลายปีนี้ สิ้นปีกวาด 900 ล้านบาท
นางสิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท ไบโอคอส กรุ๊ป จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจความงามสลิมมิ่งพลัส อาเมทิส เปิดเผยว่า จากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ซึ่งไทยจัดว่าเป็นศูนย์กลางด้านความงามในอาเซียน ทำให้คาดว่าแนวโน้มธุรกิจบริการให้ความงามจะมีผู้ประกอบการหน้าใหม่ต่างประเทศเข้ามาทำตลาดมากขึ้น
บริษัทจึงวางแผนดำเนินการตลาดเชิงรุกทั้งในประเทศและต่างประเทศ และเตรียมความพร้อมบุคลากรและการบริการเพื่อรองรับการแข่งขันที่รุนแรง โดยแผนต่างประเทศ 1-2 ปีข้างหน้าบริษัทจะขยายธุรกิจไป 2-3 ประเทศ ได้แก่ ลาว พม่า และมาเลเซีย ส่วนปีหน้าบริษัทลงทุนขยายสาขาสลิมมิ่งพลัส จาก 23 สาขาเพิ่มเป็น 30 สาขา ซึ่งสลิมมิ่งพลัสเจาะกลุ่มลูกค้าระดับบี และอาเมทิสเพิ่มจาก 1 สาขา เป็น 3 สาขา เจาะกลุ่มเอบวก
อีกทั้งยังได้จับมือร่วมกับอัลโกเธิร์ม ผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม โดยนำวัตถุดิบการผลิตจากท้องทะเลประเทศฝรั่งเศสเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกัน และดำเนินการตลาดในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ล่าสุดประเดิมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ไวเทนนิ่งภายใต้แบรนด์อัลโกเธิร์มในปลายปีนี้ นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง จากการมีสินค้าทั้งหมด 40 รายการ ทั้งนี้เพื่อให้สอดรับกับผิวของคนเอเชีย จากก่อนหน้านี้บริษัทเน้นนำเข้าสินค้าจากอัลโกเธิร์มเพียงอย่างเดียว แต่ครั้งนี้จะร่วมมือกันพัฒนาผลิตภัณฑ์
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างทดลองนำสินค้าจำหน่ายรูปแบบเคาน์เตอร์ 2-3 แห่งในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล และเดอะมอลล์
“อัลโกเธิร์มทำตลาดในภูมิภาคเอเชียร่วมกัน 10 ประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ ที่ผ่านมามียอดขายในเอเชีย 35 ล้านยูโร ซึ่งในภูมิภาคเอเชียมีอัตราการเติบโตสูง 15-20% ขณะที่ยอดขายทั่วโลกมีราว 150 ล้านยูโร”
แนวโน้มธุรกิจบริการความงามยังเป็นตลาดดูแลรูปร่างเป็นอันดับหนึ่ง เนื่องจากผู้หญิงไทยให้ความสำคัญต่อรูปร่างเป็นอันดับแรก สำหรับผลประกอบการปีนี้ตั้งเป้า 800-900 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้สลิมมิ่ง พลัส 60% อาเมทิส บอดี้ แอนด์ บิวตี้ คลับ 20% และไบโอคอส โปรเฟสชันนัล 10% โดยมีฐานลูกค้ามากกว่า 1 แสนราย และมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น 1,000 คนต่อเดือน สำหรับในปีหน้าตั้งเป้ารายได้ 1,000 ล้านบาท
นางสิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท ไบโอคอส กรุ๊ป จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจความงามสลิมมิ่งพลัส อาเมทิส เปิดเผยว่า จากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ซึ่งไทยจัดว่าเป็นศูนย์กลางด้านความงามในอาเซียน ทำให้คาดว่าแนวโน้มธุรกิจบริการให้ความงามจะมีผู้ประกอบการหน้าใหม่ต่างประเทศเข้ามาทำตลาดมากขึ้น
บริษัทจึงวางแผนดำเนินการตลาดเชิงรุกทั้งในประเทศและต่างประเทศ และเตรียมความพร้อมบุคลากรและการบริการเพื่อรองรับการแข่งขันที่รุนแรง โดยแผนต่างประเทศ 1-2 ปีข้างหน้าบริษัทจะขยายธุรกิจไป 2-3 ประเทศ ได้แก่ ลาว พม่า และมาเลเซีย ส่วนปีหน้าบริษัทลงทุนขยายสาขาสลิมมิ่งพลัส จาก 23 สาขาเพิ่มเป็น 30 สาขา ซึ่งสลิมมิ่งพลัสเจาะกลุ่มลูกค้าระดับบี และอาเมทิสเพิ่มจาก 1 สาขา เป็น 3 สาขา เจาะกลุ่มเอบวก
อีกทั้งยังได้จับมือร่วมกับอัลโกเธิร์ม ผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม โดยนำวัตถุดิบการผลิตจากท้องทะเลประเทศฝรั่งเศสเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกัน และดำเนินการตลาดในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ล่าสุดประเดิมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ไวเทนนิ่งภายใต้แบรนด์อัลโกเธิร์มในปลายปีนี้ นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง จากการมีสินค้าทั้งหมด 40 รายการ ทั้งนี้เพื่อให้สอดรับกับผิวของคนเอเชีย จากก่อนหน้านี้บริษัทเน้นนำเข้าสินค้าจากอัลโกเธิร์มเพียงอย่างเดียว แต่ครั้งนี้จะร่วมมือกันพัฒนาผลิตภัณฑ์
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างทดลองนำสินค้าจำหน่ายรูปแบบเคาน์เตอร์ 2-3 แห่งในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล และเดอะมอลล์
“อัลโกเธิร์มทำตลาดในภูมิภาคเอเชียร่วมกัน 10 ประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ ที่ผ่านมามียอดขายในเอเชีย 35 ล้านยูโร ซึ่งในภูมิภาคเอเชียมีอัตราการเติบโตสูง 15-20% ขณะที่ยอดขายทั่วโลกมีราว 150 ล้านยูโร”
แนวโน้มธุรกิจบริการความงามยังเป็นตลาดดูแลรูปร่างเป็นอันดับหนึ่ง เนื่องจากผู้หญิงไทยให้ความสำคัญต่อรูปร่างเป็นอันดับแรก สำหรับผลประกอบการปีนี้ตั้งเป้า 800-900 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้สลิมมิ่ง พลัส 60% อาเมทิส บอดี้ แอนด์ บิวตี้ คลับ 20% และไบโอคอส โปรเฟสชันนัล 10% โดยมีฐานลูกค้ามากกว่า 1 แสนราย และมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น 1,000 คนต่อเดือน สำหรับในปีหน้าตั้งเป้ารายได้ 1,000 ล้านบาท
