นายทอม โดนิลอน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของประธานาธิบดีบารัค โอบามา กล่าวว่า ภาวะเฟื่องฟูทางการผลิตน้ำมันและก๊าซในสหรัฐ ส่งผลให้สหรัฐมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นในการดำเนิน ความสัมพันธ์บนเวทีโลก และส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อนโยบายต่างประเทศและด้านความมั่นคงของสหรัฐ
ในแถลงการณ์ครั้งใหญ่ครั้งแรกของนายโดนิลอนในเรื่องนโยบายพลังงานนั้น เขากล่าวว่า การเพิ่มขึ้นมากเกินคาดของปริมาณการผลิตน้ำมันและก๊าซในสหรัฐได้ช่วยสร้างตำแหน่งงาน และช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น และปัจจัยนี้ช่วยให้สหรัฐมีความได้เปรียบในการจัดการกับประเทศอื่นๆ
นายโดนิลอนกล่าวที่ศูนย์นโยบายพลังงานโลกของมหาวิทยาลัย โคลัมเบียว่า "ความแข็งแกร่งภายในประเทศของเราถือเป็นสิ่งที่สำคัญต่อความแข็งแกร่งของเราในเวทีโลก และภาวะเฟื่องฟูด้านพลังงานของเราก็ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ของเราในช่วงที่ผ่านมา"
นวัตกรรมในการทำชั้นหินให้แตก หรือ fracking ส่งผลให้ สหรัฐสามารถใช้ประโยชน์จากอุปทานน้ำมันและก๊าซที่อยู่ในหินดินดานและทำให้สหรัฐมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุด ในโลกภายในปี 2017 โดยก้าวขึ้นมาแทนที่ซาอุดิอาระเบีย
นายโดนิลอนกล่าวว่า สหรัฐเคยเชื่อมาเป็นเวลานาน 40 ปีว่า อุปทานพลังงานของสหรัฐกำลังหดตัวลงเรื่อยๆ และส่งผลให้สหรัฐจำเป็นต้องพึ่งพาน้ำมันต่างชาติ แต่ปัจจุบันนี้ความเชื่อในเรื่องดังกล่าวได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
เขากล่าวว่า "เราเริ่มเข้าใจและพึงพอใจในผลกระทบด้านภูมิยุทธศาสตร์ที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงนี้"
นายโดนิลอนกล่าวว่า ปริมาณการผลิตพลังงานที่ขยายตัวขึ้นในสหรัฐ ช่วยให้สหรัฐสามารถทำหน้าที่เป็นผู้นำในการดำเนินมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่ออิหร่านเพื่อคัดค้านโครงการนิวเคลียร์ โดยมาตรการคว่ำบาตรนี้ ส่งผลให้อิหร่านต้องลดปริมาณการส่งออกน้ำมันลง และสร้างความเสียหาย ทางเศรษฐกิจต่ออิหร่าน แต่ไม่ส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นจนสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลก
นายโดนิลอนกล่าวว่า ถึงแม้สหรัฐอาจจะลดการพึ่งพาน้ำมันจากตะวันออกกลาง แต่สหรัฐก็จะไม่ยุติการทำงานร่วมกับประเทศในตะวันออกกลางในด้านการส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพ
นายโดนิลอนกล่าวว่า "เรามีผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของชาติอยู่ในตะวันออกกลาง"
นายโดนิลอนระบุว่า สหรัฐหวังที่จะดำเนินบทบาททางการทูตในการช่วยลดความตึงเครียดในทะเลจีนใต้และทะเลจีนตะวันออก ซึ่งเป็นความตึงเครียดระหว่างจีนและประเทศอื่นๆในเอเชียที่เกิดจากทรัพยากรน้ำมัน นอกชายฝั่ง โดยเขาตั้งข้อสังเกตว่า คณะผู้บริหารของปธน.โอบามา "คัดค้านการข่มขู่หรือการใช้กำลังเพื่ออ้างสิทธิเหนือดินแดน"
นายโดนิลอนไม่ได้เปิดเผยว่า คณะผู้บริหารของปธน.โอบามามีความเห็นอย่างไรต่อประเด็นสำคัญต่างๆในด้านนโยบายพลังงานที่รอการตัดสินใจอยู่ในขณะนี้
ประเทศพันธมิตรของสหรัฐในเอเชียและยุโรประบุว่า สหรัฐควรที่จะส่งออกก๊าซธรรมชาติมากยิ่งขึ้น เพราะการทำเช่นนี้จะช่วยลดต้นทุนการนำเข้าของประเทศกลุ่มนี้
ถึงแม้นายโดนิลอนยอมรับว่า การผลิตก๊าซธรรมชาติของสหรัฐ ช่วยลดอิทธิพลของบางประเทศ เช่น รัสเซีย ซึ่งครองตลาดก๊าซโลกในปัจจุบัน แต่เขาก็ไม่ได้ระบุว่า รัฐบาลสหรัฐจะอนุญาตให้มีการส่งออกก๊าซธรรมชาติไปยังประเทศต่างๆในวงกว้างยิ่งขึ้นหรือไม่
กระทรวงพลังงานสหรัฐกำลังพิจารณาใบสมัครของบริษัทต่างๆที่ต้องการส่งออกก๊าซธรรมชาติ แต่บริษัทผู้ผลิตสินค้าภายในสหรัฐพยายามล้อบบี้ทางกระทรวงเพื่อต่อต้านเรื่องนี้ เพราะบริษัทกลุ่มนี้กังวลว่า การส่งออกก๊าซจะส่งผลให้ต้นทุนเชื้อเพลิงในสหรัฐพุ่งสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้บริษัทผู้ผลิตต้องปรับขึ้นราคาสินค้าของตนเองในที่สุด
นายโดนิลอนไม่ได้กล่าวถึงท่อส่งน้ำมันคีย์สโตน เอ็กซ์แอล ซึ่งเป็นโครงการจัดส่งน้ำมันดิบจากแคนาดาและรัฐนอร์ธ ดาโกต้า ไปยังโรงกลั่นน้ำมันทางตอนใต้ของสหรัฐ
โครงการท่อส่งน้ำมันคีย์สโตนนี้จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากประธานาธิบดีในการวางท่อส่งข้ามพรมแดนสหรัฐ-แคนาดา แต่โครงการนี้ หยุดชะงักมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว ขณะที่กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมต้องการ ให้มีการยุติโครงการนี้ เพราะมองว่า การผลิตและส่งออกน้ำมันแคนาดา จะเป็นการเร่งรัดการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ
นายเจสัน บอร์ดอฟ ผู้อำนวยการศูนย์นโยบายพลังงานโลก กล่าวว่าการโต้แย้งกันเรื่องการส่งออกก๊าซธรรมชาติและท่อส่งน้ำมันดิบนี้ ถือเป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า สหรัฐกำลังรับมือกับโครงสร้างพื้นฐานและกฎระเบียบแบบเดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อใช้ในยุคที่น้ำมันขาดแคลนและสหรัฐต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมัน
(ข่าวจากสำนักข่าว รอยเตอร์)
T.Thammsak
ในแถลงการณ์ครั้งใหญ่ครั้งแรกของนายโดนิลอนในเรื่องนโยบายพลังงานนั้น เขากล่าวว่า การเพิ่มขึ้นมากเกินคาดของปริมาณการผลิตน้ำมันและก๊าซในสหรัฐได้ช่วยสร้างตำแหน่งงาน และช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น และปัจจัยนี้ช่วยให้สหรัฐมีความได้เปรียบในการจัดการกับประเทศอื่นๆ
นายโดนิลอนกล่าวที่ศูนย์นโยบายพลังงานโลกของมหาวิทยาลัย โคลัมเบียว่า "ความแข็งแกร่งภายในประเทศของเราถือเป็นสิ่งที่สำคัญต่อความแข็งแกร่งของเราในเวทีโลก และภาวะเฟื่องฟูด้านพลังงานของเราก็ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ของเราในช่วงที่ผ่านมา"
นวัตกรรมในการทำชั้นหินให้แตก หรือ fracking ส่งผลให้ สหรัฐสามารถใช้ประโยชน์จากอุปทานน้ำมันและก๊าซที่อยู่ในหินดินดานและทำให้สหรัฐมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุด ในโลกภายในปี 2017 โดยก้าวขึ้นมาแทนที่ซาอุดิอาระเบีย
นายโดนิลอนกล่าวว่า สหรัฐเคยเชื่อมาเป็นเวลานาน 40 ปีว่า อุปทานพลังงานของสหรัฐกำลังหดตัวลงเรื่อยๆ และส่งผลให้สหรัฐจำเป็นต้องพึ่งพาน้ำมันต่างชาติ แต่ปัจจุบันนี้ความเชื่อในเรื่องดังกล่าวได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
เขากล่าวว่า "เราเริ่มเข้าใจและพึงพอใจในผลกระทบด้านภูมิยุทธศาสตร์ที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงนี้"
นายโดนิลอนกล่าวว่า ปริมาณการผลิตพลังงานที่ขยายตัวขึ้นในสหรัฐ ช่วยให้สหรัฐสามารถทำหน้าที่เป็นผู้นำในการดำเนินมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่ออิหร่านเพื่อคัดค้านโครงการนิวเคลียร์ โดยมาตรการคว่ำบาตรนี้ ส่งผลให้อิหร่านต้องลดปริมาณการส่งออกน้ำมันลง และสร้างความเสียหาย ทางเศรษฐกิจต่ออิหร่าน แต่ไม่ส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นจนสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลก
นายโดนิลอนกล่าวว่า ถึงแม้สหรัฐอาจจะลดการพึ่งพาน้ำมันจากตะวันออกกลาง แต่สหรัฐก็จะไม่ยุติการทำงานร่วมกับประเทศในตะวันออกกลางในด้านการส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพ
นายโดนิลอนกล่าวว่า "เรามีผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของชาติอยู่ในตะวันออกกลาง"
นายโดนิลอนระบุว่า สหรัฐหวังที่จะดำเนินบทบาททางการทูตในการช่วยลดความตึงเครียดในทะเลจีนใต้และทะเลจีนตะวันออก ซึ่งเป็นความตึงเครียดระหว่างจีนและประเทศอื่นๆในเอเชียที่เกิดจากทรัพยากรน้ำมัน นอกชายฝั่ง โดยเขาตั้งข้อสังเกตว่า คณะผู้บริหารของปธน.โอบามา "คัดค้านการข่มขู่หรือการใช้กำลังเพื่ออ้างสิทธิเหนือดินแดน"
นายโดนิลอนไม่ได้เปิดเผยว่า คณะผู้บริหารของปธน.โอบามามีความเห็นอย่างไรต่อประเด็นสำคัญต่างๆในด้านนโยบายพลังงานที่รอการตัดสินใจอยู่ในขณะนี้
ประเทศพันธมิตรของสหรัฐในเอเชียและยุโรประบุว่า สหรัฐควรที่จะส่งออกก๊าซธรรมชาติมากยิ่งขึ้น เพราะการทำเช่นนี้จะช่วยลดต้นทุนการนำเข้าของประเทศกลุ่มนี้
ถึงแม้นายโดนิลอนยอมรับว่า การผลิตก๊าซธรรมชาติของสหรัฐ ช่วยลดอิทธิพลของบางประเทศ เช่น รัสเซีย ซึ่งครองตลาดก๊าซโลกในปัจจุบัน แต่เขาก็ไม่ได้ระบุว่า รัฐบาลสหรัฐจะอนุญาตให้มีการส่งออกก๊าซธรรมชาติไปยังประเทศต่างๆในวงกว้างยิ่งขึ้นหรือไม่
กระทรวงพลังงานสหรัฐกำลังพิจารณาใบสมัครของบริษัทต่างๆที่ต้องการส่งออกก๊าซธรรมชาติ แต่บริษัทผู้ผลิตสินค้าภายในสหรัฐพยายามล้อบบี้ทางกระทรวงเพื่อต่อต้านเรื่องนี้ เพราะบริษัทกลุ่มนี้กังวลว่า การส่งออกก๊าซจะส่งผลให้ต้นทุนเชื้อเพลิงในสหรัฐพุ่งสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้บริษัทผู้ผลิตต้องปรับขึ้นราคาสินค้าของตนเองในที่สุด
นายโดนิลอนไม่ได้กล่าวถึงท่อส่งน้ำมันคีย์สโตน เอ็กซ์แอล ซึ่งเป็นโครงการจัดส่งน้ำมันดิบจากแคนาดาและรัฐนอร์ธ ดาโกต้า ไปยังโรงกลั่นน้ำมันทางตอนใต้ของสหรัฐ
โครงการท่อส่งน้ำมันคีย์สโตนนี้จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากประธานาธิบดีในการวางท่อส่งข้ามพรมแดนสหรัฐ-แคนาดา แต่โครงการนี้ หยุดชะงักมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว ขณะที่กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมต้องการ ให้มีการยุติโครงการนี้ เพราะมองว่า การผลิตและส่งออกน้ำมันแคนาดา จะเป็นการเร่งรัดการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ
นายเจสัน บอร์ดอฟ ผู้อำนวยการศูนย์นโยบายพลังงานโลก กล่าวว่าการโต้แย้งกันเรื่องการส่งออกก๊าซธรรมชาติและท่อส่งน้ำมันดิบนี้ ถือเป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า สหรัฐกำลังรับมือกับโครงสร้างพื้นฐานและกฎระเบียบแบบเดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อใช้ในยุคที่น้ำมันขาดแคลนและสหรัฐต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมัน
(ข่าวจากสำนักข่าว รอยเตอร์)
T.Thammsak