“พาณิชย์” เดินหน้าจัดตั้งไรซ์เทรดโซน เล็งใช้ 4 จังหวัด จันทบุรี ตราด สระแก้ว ฉะเชิงเทรา เป็นศูนย์นำเข้าข้าวจากกัมพูชา พร้อมประเมินจะนำเข้าข้าวแบบไหน เหตุมีข้อดีข้อเสียต่างกัน ยันเป็นประโยชน์ช่วยเพิ่มยอดส่งออก ป้องกันชาวนาถูกสวมสิทธิ
นายทิฆัมพร นาทวรทัต รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการจัดทำเขตการค้าข้าวพิเศษ (ไรซ์เทรดโซน) ว่า ขณะนี้กรมฯ ได้คัดเลือกสถานที่ที่จะจัดตั้งเป็นเขตค้าข้าวพิเศษได้แล้วใน 4 จังหวัด คือ จันทบุรี ตราด สระแก้ว และฉะเชิงเทรา โดยอยู่ระหว่างการตัดใจจะเลือกจังหวัดใด หรือเลือกทั้ง 4 จังหวัด รวมทั้งยังอยู่ระหว่างการศึกษาจะนำเข้าข้าวชนิดใดจากกัมพูชามาแปรสภาพแล้วส่งออกต่อไปยังประเทศที่สามระหว่างข้าวเปลือกและข้าวกล้อง เพราะข้าวแต่ละชนิดมีข้อดีข้อเสียต่างกัน และให้ประโยชน์กับไทยต่างกัน
“ถ้าเรานำเข้าข้าวแล้วมาสีแปรสภาพแล้วส่งออกไปประเทศที่สาม เช่น สหภาพยุโรป (อียู) ก็อาจได้ประโยชน์จากสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) ที่อียูให้กับกัมพูชา เพราะข้าวมีแหล่งกำเนิดจากกัมพูชา ทำให้ไทยแข่งขันในตลาดอียูได้ดีขึ้น และยังได้ผลพลอยได้จากรำข้าว ปลายข้าว แต่อาจจะมีปัญหากรณีอียูสงสัยแล้วไปถามกัมพูชาว่าข้าวที่ไทยส่งเป็นข้าวกัมพูชาจริงหรือไม่ ถ้ากัมพูชาตอบไม่ใช่ ไทยก็จะมีความผิดฐานส่งออกสินค้าโดยการสวมสิทธิ์ และอาจถูกห้ามส่งออกได้”
อย่างไรก็ตาม กรมฯ ยืนยันว่าการจัดตั้งไรซ์เทรดโซนจะเป็นประโยชน์จากการนำข้าวเพื่อนบ้านมาทำตลาด ช่วยเพิ่มยอดส่งออกและสร้างรายได้เข้าประเทศมากขึ้น และยังช่วยให้ชาวนาไม่เสียสิทธิจากการถูกข้าวลักลอบนำเข้าจากเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิในโครงการรับจำนำของรัฐบาลด้วย
นายทิฆัมพรกล่าวว่า กรมฯ ได้พยายามชี้แจงทำความเข้าใจกับชาวนาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งได้กำหนดวิธีการป้องกันไม่ให้ข้าวที่นำเข้ามาหลุดรอดออกไปขายในตลาด และสร้างความเสียหายให้กับตลาดข้าวของไทย เช่น ในการขนย้าย อาจมีการติดจีพีเอส เพื่อติดตามเส้นทางของรถที่ขนย้ายข้าว รวมถึงกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะนำเข้าข้าวของประเทศเพื่อนบ้านด้วย เป็นต้น
ทั้งนี้ ในช่วงเริ่มแรกของการดำเนินการ อาจต้องเริ่มนำเข้าข้าวจากกัมพูชาในปริมาณน้อยก่อน เช่น 100 ตัน หรือ 1,000 ตัน เพื่อทดสอบระบบการป้องกันของรัฐว่าดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ หากปิดช่องโหว่ต่างๆ ได้แล้วก็จะนำเข้าในปริมาณที่มากขึ้น
นางวัชรี วิมุกตายน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงการแข็งค่าของค่าเงินบาทในขณะนี้ว่า ไม่กระทบต่อแผนการขายข้าวของรัฐบาลแน่นอน โดยยังยืนยันว่า จนถึงเดือนก.ย.นี้ กระทรวงพาณิชย์จะสามารถขายข้าวรัฐและมีเงินส่งเงินกระทรวงการคลังได้ประมาณ 180,000 ล้านบาทตามเป้าหมาย เพราะกรมการค้าต่างประเทศ ได้ทำสัญญาซื้อขายข้าวปริมาณมากแล้ว เช่น จีน ทำสัญญาซื้อขายไปแล้วมากกว่า 5 ล้านตัน ที่เหลือเป็นประเทศอื่นๆ เช่น อินโดนีเซีย บางประเทศในแอฟริกา เป็นต้น
นายทิฆัมพร นาทวรทัต รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการจัดทำเขตการค้าข้าวพิเศษ (ไรซ์เทรดโซน) ว่า ขณะนี้กรมฯ ได้คัดเลือกสถานที่ที่จะจัดตั้งเป็นเขตค้าข้าวพิเศษได้แล้วใน 4 จังหวัด คือ จันทบุรี ตราด สระแก้ว และฉะเชิงเทรา โดยอยู่ระหว่างการตัดใจจะเลือกจังหวัดใด หรือเลือกทั้ง 4 จังหวัด รวมทั้งยังอยู่ระหว่างการศึกษาจะนำเข้าข้าวชนิดใดจากกัมพูชามาแปรสภาพแล้วส่งออกต่อไปยังประเทศที่สามระหว่างข้าวเปลือกและข้าวกล้อง เพราะข้าวแต่ละชนิดมีข้อดีข้อเสียต่างกัน และให้ประโยชน์กับไทยต่างกัน
“ถ้าเรานำเข้าข้าวแล้วมาสีแปรสภาพแล้วส่งออกไปประเทศที่สาม เช่น สหภาพยุโรป (อียู) ก็อาจได้ประโยชน์จากสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) ที่อียูให้กับกัมพูชา เพราะข้าวมีแหล่งกำเนิดจากกัมพูชา ทำให้ไทยแข่งขันในตลาดอียูได้ดีขึ้น และยังได้ผลพลอยได้จากรำข้าว ปลายข้าว แต่อาจจะมีปัญหากรณีอียูสงสัยแล้วไปถามกัมพูชาว่าข้าวที่ไทยส่งเป็นข้าวกัมพูชาจริงหรือไม่ ถ้ากัมพูชาตอบไม่ใช่ ไทยก็จะมีความผิดฐานส่งออกสินค้าโดยการสวมสิทธิ์ และอาจถูกห้ามส่งออกได้”
อย่างไรก็ตาม กรมฯ ยืนยันว่าการจัดตั้งไรซ์เทรดโซนจะเป็นประโยชน์จากการนำข้าวเพื่อนบ้านมาทำตลาด ช่วยเพิ่มยอดส่งออกและสร้างรายได้เข้าประเทศมากขึ้น และยังช่วยให้ชาวนาไม่เสียสิทธิจากการถูกข้าวลักลอบนำเข้าจากเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิในโครงการรับจำนำของรัฐบาลด้วย
นายทิฆัมพรกล่าวว่า กรมฯ ได้พยายามชี้แจงทำความเข้าใจกับชาวนาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งได้กำหนดวิธีการป้องกันไม่ให้ข้าวที่นำเข้ามาหลุดรอดออกไปขายในตลาด และสร้างความเสียหายให้กับตลาดข้าวของไทย เช่น ในการขนย้าย อาจมีการติดจีพีเอส เพื่อติดตามเส้นทางของรถที่ขนย้ายข้าว รวมถึงกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะนำเข้าข้าวของประเทศเพื่อนบ้านด้วย เป็นต้น
ทั้งนี้ ในช่วงเริ่มแรกของการดำเนินการ อาจต้องเริ่มนำเข้าข้าวจากกัมพูชาในปริมาณน้อยก่อน เช่น 100 ตัน หรือ 1,000 ตัน เพื่อทดสอบระบบการป้องกันของรัฐว่าดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ หากปิดช่องโหว่ต่างๆ ได้แล้วก็จะนำเข้าในปริมาณที่มากขึ้น
นางวัชรี วิมุกตายน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงการแข็งค่าของค่าเงินบาทในขณะนี้ว่า ไม่กระทบต่อแผนการขายข้าวของรัฐบาลแน่นอน โดยยังยืนยันว่า จนถึงเดือนก.ย.นี้ กระทรวงพาณิชย์จะสามารถขายข้าวรัฐและมีเงินส่งเงินกระทรวงการคลังได้ประมาณ 180,000 ล้านบาทตามเป้าหมาย เพราะกรมการค้าต่างประเทศ ได้ทำสัญญาซื้อขายข้าวปริมาณมากแล้ว เช่น จีน ทำสัญญาซื้อขายไปแล้วมากกว่า 5 ล้านตัน ที่เหลือเป็นประเทศอื่นๆ เช่น อินโดนีเซีย บางประเทศในแอฟริกา เป็นต้น
