xs
xsm
sm
md
lg

รัฐสารภาพบาป รู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือทุบราคา?

เผยแพร่:   โดย: คำนูณ สิทธิสมาน

​ขอสลับฉากการประเด็นปราสาทพระวิหารที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มด้วยข่าวสำคัญเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม 2556 ที่ถือว่าสำคัญไม่แพ้กัน

“นิวัฒน์ธำรงจำนนยอมขาดทุน/ระบายข้าวในราคาตลาด/แจงนายกฯ มอบให้ดูเรื่องเงินทั้งหมด/คุมไม่เกิน 5 แสนล้าน

“นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเพิ่งได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี ให้เข้ามาดูแลโครงการรับจำนำข้าว กล่าวยอมรับว่า รัฐบาลจำเป็นจะต้องขายข้าวในโครงการรับจำนำตามราคาตลาด โดยรัฐบาลต้องยอมรับผลขาดทุนที่เกิดขึ้น เพราะรับจำนำข้าวในราคาสูงกว่าราคาตลาด

“น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังมอบหมายให้นายนิวัฒน์ธำรงเข้ามาดูแลเงินรับจำนำข้าว โดยจำกัดไม่ให้เกินปีละ 5 แสนล้านบาท พร้อมจัดหาแหล่งเงินในการรับจำนำปีต่อๆ ไป รวมทั้งเงินที่ได้จากการขายข้าวเป็นไปตามแผนหรือไม่

“ส่วนการขายข้าวขาดทุนนั้น ต้องดูว่าจะทำอย่างไรที่หาเงินมาเติมให้ทุนหมุนเวียนในโครงการเป็น 5 แสนล้านบาท” นายนิวัฒน์ธำรง กล่าว

“ทั้งนี้ กรอบวงเงิน 5 แสนล้านบาทมาจากเงินกู้ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติไว้ 4.1 แสนล้านบาท และสภาพคล่องธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) อีก 9 หมื่นล้านบาท

“ก่อนหน้านี้รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยืนยันมาโดยตลอดว่าข้าวในโครงการรับจำนำจะขายไม่ต่ำกว่าราคาในตลาดโลกและจะไม่ขาดทุน

“ปัจจุบันรัฐบาลเป็นหนี้ ธ.ก.ส.ในโครงการรับจำนำ 2 ฤดูการผลิต รวม 476,898 ล้านบาท แต่กระทรวงพาณิชย์ชำระค่าขายข้าวเพียง 6.5 หมื่นล้านบาท ทำให้สุทธิรัฐบาลเป็นหนี้อยู่ 4 แสนล้านบาท

​นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ตลาดข้าวขณะนี้เหมาะในการระบาย เพราะถูกกระทบจากปัญหาภัยแล้ง โดยได้ให้กรมการค้าต่างประเทศพิจารณาเปิดประมูลข้าว และล่าสุดได้คืนเงินให้กระทรวงการคลังแล้ว 8 หมื่นล้านบาท

“ขณะที่ก่อนหน้านี้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้เรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนโครงการรับจำนำข้าวอย่างเร่งด่วน เพราะประเมินว่าโครงการรับจำนำข้าวในปีการผลิต 2554/2555 จะขาดทุน 1.4 แสนล้านบาท และปีการผลิต 2555/2556 อาจขาดทุนกว่า 2.1แสนล้านบาท”


​ทั้งหมดคัดมาจากนสพ.โพสต์ทูเดย์ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม 2556 เซกชั่นหุ้น-การเงิน

ข่าวนี้สำคัญตรงไหนหรือ?

สำคัญตรงที่เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลชุดนี้ยอมรับโครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ดในราคาสูงกว่าราคาตลาด 40% ขาดทุน และต้องคุมเข้มเรื่องการเงิน ซึ่งก็ยังมีปัญหาอยู่ว่าจะหาเงินมาจากที่ไหน ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีการพูดตรงไปตรงมาอย่างนี้มาก่อน มีแต่บอกว่าข้าวยังไม่ได้ขายก็ยังไม่ขาดทุน และยืนยันว่าจะขายได้ราคาไม่ขาดทุนแน่ พอถามหาสัญญาขายข้าว ก็ไม่เปิดเผย และบอกว่าเป็นความลับ

นี่จึงเป็นการสารภาพบาปครั้งแรก!

น่าสังเกตและวิเคราะห์ต่อว่าเหตุใดคนออกมาพูดไม่ใช่ทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ/หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แต่เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีคนเก่าคนแก่ของกลุ่มชินวัตร เกิดอะไรขึ้น ลำพังแค่คลังกับพาณิชย์สวนกันไปสวนกันมาทั้งทางหนังสือและทางวาจาก็สร้างความสับสนมากพอแล้ว คงจะจำกันได้ว่ามีหนังสือจากกระทรวงการคลังลงนามโดยรัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีช่วยว่าการ 2 ฉบับยาวเหยียดถึงนายกรัฐมนตรี เสนอมาตรการเคร่งครัดทางการเงินในการใช้จ่ายโครงการนี้ สร้างความไม่สบอารมณ์ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พอสมควร จากนั้นพอถึงต้นปีก็มี ธ.ก.ส.ออกมาแถลงร้องขอวงเงินกู้เพิ่มอีก 70,000 ล้านบาท กระทรวงการคลังแถลงตอบว่าไม่ให้ ให้ได้แค่ 150,000 ล้านบาทเท่านั้น แล้วก็มีข่าวว่าจะเสนอให้ใช้วงเงินจากสภาพคล่องของ ธ.ก.ส.เองเพิ่มอีก 60,000 ล้านบาท จากที่ใช้ไปปีละ 90,000 ล้านบาท สุดท้ายก็ไม่เอาสักวิธี ใช้วิธีเดิมคือเร่งทวงเงินค่าขายข้าวจากกระทรวงพาณิชย์

เรื่องยังไม่สรุปสุดท้าย ก็มีฝ่ายที่สามออกมาอีกเป็นรัฐมนตรีวงในคนใกล้ชิดนายกรัฐมนตรีและพี่ชายนายกรัฐมนตรี

หรือว่านี่คือวิธีการแก้ปัญหาของพี่ชายน้องสาวตระกูลชินวัตร?

ถึงแม้ว่าการสารภาพบาปครั้งนี้จะช้าไปสักหน่อย และยังไม่มีวี่แววชัดเจนว่าจะมีการปรับนโยบายนี้ไปในทิศทางใด ชาวนาที่เคยได้ประโยชน์จะพอใจหรือไม่ คนขี่เสือจะลงจากหลังเสือหรือไม่ หากลงแล้วจะถูกเสือกัดหรือไม่ แต่ก็ถือว่าโอเคในระดับหนึ่ง

แต่การสารภาพบาปครั้งนี้ก็มีปัญหาตามมาเช่นกัน!

ปัญหาว่าจะสร้างบาปใหม่หรือไม่?

ปัญหาที่ว่านี้ก็คือคนระดับรัฐมนตรีของประเทศส่งออกข้าวที่มีอิทธิพลต่อตลาดโลกออกมาประกาศว่าจะยอมขายข้าวในสต็อกตามราคาตลาดโลก และจะยอมรับผลขาดทุน อย่างที่ปรากฏเป็นข่าวข้างต้น ผลที่จะเกิดขึ้นจริงแน่นอนก็คือรัฐบาลจะยิ่งขาดทุนหนักกว่าที่ควรจะเป็นแน่ เพราะผู้ซื้อจะชะลอการซื้อเนื่องจากรู้ว่าเป็นตลาดขาลง ราคาตลาดโลกจะลงต่อเนื่องไปอีก ซึ่งก็เป็นธรรมดาของตลาดข้าวโลก ยามใดเป็นตลาดขาลง ผู้ซื้อจะชะลอการซื้อ ยามใดเป็นตลาดขาขึ้น ผู้ซื้อจะเร่งซื้อ

จำสมัยนางพรทิวา นาคาศัยกับดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรีได้ไหม ช่วงนั้นมีข่าวฮือฮาว่าไม่รู้ใครปล่อยข่าวว่าไทยจะขายข้าวล็อตใหญ่ในราคาต่ำ ตันละเท่านั้นเท่านี้ ผลที่เกิดคือราคาข้าวตกครั้งใหญ่

แต่วันนี้ไปไกลกว่านั้น เพราะไม่ใช่แค่ข่าวปล่อย หากเป็นการให้สัมภาษณ์ของรัฐมนตรีวงในคนใกล้ชิดนายกรัฐมนตรีและพี่ชายนายกรัฐมนตรีที่ประกาศว่านายกรัฐมนตรีเพิ่งมอบให้รับผิดชอบเรื่องเงินโดยตรง

มองโลกในแง่ดีก็คือนี่คือการรู้เท่าไม่ถึงการณ์!

มองโลกในแง่ร้าย หรือมองโลกตามที่เป็นจริง ก็ต้องตั้งสมมติฐานกันแบบโหดๆ ว่า

หรือนี่คือปฏิบัติการทุบราคา?

ทุบราคาเพื่ออะไร ก็เพื่ออวยประโยชน์ให้พ่อค้าขาเก่าพรรคพวกกันที่น่าจะดอดไปขายข้าวในตลาดล่วงหน้าที่ชิคาโกแล้วในราคาหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นราคาตลาดปัจจุบันหรือต่ำกว่านิดหน่อยแล้ว พอราคาตลาดลงต่ำกว่าลงไปอีกเพราะลมปากรัฐมนตรีวงในคนใกล้ชิดนายกรัฐมนตรีและพี่ชายนายกรัฐมนตรีวันนี้ เขาก็จะซื้อได้ในราคาตลาดที่ต่ำกว่าที่ควรลงไปอีก ทำให้ได้กำไรส่วนต่างจากที่ดอดไปขายที่ชิคาโกไว้มากขึ้น

ไม่ต้องบอกหรอกว่ากำไรส่วนต่างที่มากขึ้นนี้พ่อค้าขาเก่าเขาจะเก็บไว้คนเดียว หรือจะเอามาปันกันกับใคร?

ส่วนต่างกำไรเพิ่มขึ้นตันละสัก 1,000 บาทก็จริง

แต่อย่าลืมนะว่านี่เรากำลังพูดกันถึงสต็อกข้าวในระดับ 10 ล้านตัน!

จะมองโลกในแง่ดีหรือในแง่ร้ายก็เป็นสิทธิของพี่น้อง!

แต่กูรูในวงการค้าข้าวกระซิบบอกผมว่าเขาไม่ได้มองโลกในแง่ดี หรือแง่ร้าย แต่มองโลกอย่างที่มันเป็นจริง พ่อค้าข้าวขาเก่าไม่ใช่ทำแบบนี้เป็นครั้งแรก แต่ทำมาแล้ว ล่าสุดก็เมื่อ 2 ปีก่อน

ถ้าเป็นจริงตามกูรูท่านสันนิษฐาน ก็ไม่รู้ว่าจิตใจคนบางคนทำด้วยอะไร

ในกระบวนการสารภาพบาปยังอุตส่าห์สร้างบาปใหม่
กำลังโหลดความคิดเห็น