พ.ต.ท.ไพโรจน์ ปัญจประทีป ประธานกรรมการองค์การคลังสินค้า หรือ อคส. เปิดเผยว่า ที่ประชุมบอร์ดมีมติให้เลิกจ้าง พ.ต.ท.ศราวุธ สกุลมีฤทธิ์ ผู้อำนวยการ อคส. โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2556 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ บอร์ดยังเห็นว่า พ.ต.ท.ศราวุธ มีปัญหาในการบริหารงานที่มีข้อกล่าวหาว่าทุจริต โดยเฉพาะการดำเนินโครงการรับจำนำหอมแดงที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังพูดไม่ได้ว่าผู้อำนวยการ อคส.มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ เพราะต้องรอผลการสอบสวนก่อน
นอกจากนี้ ยังบริหารงานไม่มีประสิทธิภาพในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลที่มีปัญหาความล่าช้า โดยเฉพาะกรณีความล่าช้าในการไม่สั่งสีแปรสภาพข้าวเปลือกที่ได้จากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปีปี 55/56 ให้เป็นข้าวสาร เพื่อส่งมอบเข้าโกดังกลางที่ จ.สุโขทัย จนมีผลทำให้ข้าวเปลือกของเกษตรกรที่นำมาเข้าโครงการต้องเน่าเสียหายจำนวนมาก ซึ่งความเสียหายครั้งนี้ ทำให้บอร์ดต้องสั่งพักงานผู้อำนวยการ อคส.เป็นครั้งที่ 2 และให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนด้านวินัย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการสอบสวน
พ.ต.ท.ไพโรจน์ กล่าวถึงกรณีที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. ระบุว่า อคส.คืนเงินจากขายข้าวในสต๊อกรัฐบาลแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี ให้ ธ.ก.ส.ไม่ครบถ้วนว่า ทุกครั้งที่ อคส.ขายข้าวจีทูจีออกไปแล้ว เมื่อได้เงินมาจะโอนเข้าบัญชีที่ อคส.เปิดไว้ในนามของ ธ.ก.ส. โดยไม่ได้นำเงินเหล่านั้นไปใช้ทำประโยชน์ หรือไปหมุนเวียนใช้ในด้านอื่นๆ อย่างที่ถูกกล่าวหาเลย แต่อาจมีเรื่องที่เข้าใจไม่ตรงกันด้านเทคนิคที่จะต้องมีการหักเงินค่าเสื่อมคุณภาพของข้าวบ้าง ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้มีการหักกันเลย จึงทำให้ ธ.ก.ส.เข้าใจผิดได้
ด้านนางปราณี ศิริพันธ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ในฐานะกรรมการ อคส. กล่าวว่า เฉพาะการขายข้าวในรูปแบบจีทูจี ตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 55 ได้คืนเงินให้กับกระทรวงการคลังไปแล้ว 52,000 ล้านบาท และไตรมาสแรกปีนี้ได้ทยอยส่งไปแล้ว 2 ครั้ง ช่วงปลายเดือนมกราคม 2556 ประมาณ 12,000 ล้านบาท และต้นเดือนกุมภาพันธ์อีก 1,500 ล้านบาท รวมทั้งหมดได้ส่งเงินคืน 65,000 ล้านบาท ซึ่งไม่เป็นไปตามแผนงานที่ได้ตั้งเป้าไว้ เพราะอยู่ระหว่างดำเนินการส่งมอบอีก
นอกจากนี้ บอร์ดยังเห็นว่า พ.ต.ท.ศราวุธ มีปัญหาในการบริหารงานที่มีข้อกล่าวหาว่าทุจริต โดยเฉพาะการดำเนินโครงการรับจำนำหอมแดงที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังพูดไม่ได้ว่าผู้อำนวยการ อคส.มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ เพราะต้องรอผลการสอบสวนก่อน
นอกจากนี้ ยังบริหารงานไม่มีประสิทธิภาพในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลที่มีปัญหาความล่าช้า โดยเฉพาะกรณีความล่าช้าในการไม่สั่งสีแปรสภาพข้าวเปลือกที่ได้จากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปีปี 55/56 ให้เป็นข้าวสาร เพื่อส่งมอบเข้าโกดังกลางที่ จ.สุโขทัย จนมีผลทำให้ข้าวเปลือกของเกษตรกรที่นำมาเข้าโครงการต้องเน่าเสียหายจำนวนมาก ซึ่งความเสียหายครั้งนี้ ทำให้บอร์ดต้องสั่งพักงานผู้อำนวยการ อคส.เป็นครั้งที่ 2 และให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนด้านวินัย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการสอบสวน
พ.ต.ท.ไพโรจน์ กล่าวถึงกรณีที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. ระบุว่า อคส.คืนเงินจากขายข้าวในสต๊อกรัฐบาลแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี ให้ ธ.ก.ส.ไม่ครบถ้วนว่า ทุกครั้งที่ อคส.ขายข้าวจีทูจีออกไปแล้ว เมื่อได้เงินมาจะโอนเข้าบัญชีที่ อคส.เปิดไว้ในนามของ ธ.ก.ส. โดยไม่ได้นำเงินเหล่านั้นไปใช้ทำประโยชน์ หรือไปหมุนเวียนใช้ในด้านอื่นๆ อย่างที่ถูกกล่าวหาเลย แต่อาจมีเรื่องที่เข้าใจไม่ตรงกันด้านเทคนิคที่จะต้องมีการหักเงินค่าเสื่อมคุณภาพของข้าวบ้าง ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้มีการหักกันเลย จึงทำให้ ธ.ก.ส.เข้าใจผิดได้
ด้านนางปราณี ศิริพันธ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ในฐานะกรรมการ อคส. กล่าวว่า เฉพาะการขายข้าวในรูปแบบจีทูจี ตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 55 ได้คืนเงินให้กับกระทรวงการคลังไปแล้ว 52,000 ล้านบาท และไตรมาสแรกปีนี้ได้ทยอยส่งไปแล้ว 2 ครั้ง ช่วงปลายเดือนมกราคม 2556 ประมาณ 12,000 ล้านบาท และต้นเดือนกุมภาพันธ์อีก 1,500 ล้านบาท รวมทั้งหมดได้ส่งเงินคืน 65,000 ล้านบาท ซึ่งไม่เป็นไปตามแผนงานที่ได้ตั้งเป้าไว้ เพราะอยู่ระหว่างดำเนินการส่งมอบอีก
