ถ้าคุณเป็นคนช่างสังเกตก็คงพอจะทราบดีว่า ถึงแม้ผมจะสนับสนุนแนวคิดในเรื่องของการให้เงินทำงานผ่านทางเลือกในการลงทุนที่มีอยู่อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะ “หุ้น” แต่ผมก็ไม่ค่อยจะสนับสนุนแนวคิดในการลงทุนในลักษณะการเก็งกำไร
ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะที่ผ่านมาผมไม่ค่อยจะพบคนที่ประสบความสำเร็จจากการลงทุนในลักษณะดังกล่าวมากนัก ยกเว้นบรรดาขาใหญ่เงินหนา มากบารมีทางการเมือง แถมยังมีเครือข่ายยุบยับ ที่ประพฤติตัวเป็น “นักปั่นหุ้น” ที่อาศัยความโลภของคนอื่นในการทำเงิน ท้าทายกฏเกณฑ์ของทางการฯที่เปลี่ยนหน้า เปลี่ยนตัวกันมาโลดแล่นอยู่ในตลาดหุ้นฯทุกยุคทุกสมัย
ปัจจุบันถึงแม้บรรดา “นักเก็งกำไร” จะพยายามอาศัยวิธีการต่างๆในการวิเคราะห์หุ้น เช่นการวิเคราะห์หุ้นด้วยปัจจัยพื้นฐาน และการวิเคราะห์ทางเทคนิคแต่หลายคนก็ยังสงสัยว่า หากวิธีการเหล่านี้ ได้ผลดีจริงๆหรือ ทำไมนักเล่นหุ้นส่วนใหญ่จึงยังขาดทุน ทั้งๆที่บางครั้งตลาดหุ้นอยู่ในภาวะ “กระทิง”เสียด้วยซ้ำไป
ในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นนั้น เราจะอาศัยข้อมูล และปัจจัยที่เป็นตัวแปรในด้านต่างๆ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อฐานะการเงินของบริษัทฯ โดยวิเคราะห์ถึงความต้องการสินค้า และปัจจัยทางเศรษฐกิจต่างๆ เพื่อทำการประเมินและคาดคะเนไปถึงผลประกอบการของบริษัทฯที่เราเข้าไปลงทุนซื้อหุ้น โดยนอกเหนือจากต้องการผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลแล้ว เรายังหวังถึงกำไรที่จะได้จ่ากส่วนต่างของราคา (Capital Gain) ที่จะได้รับ หากระดับราคาของหุ้นเพิ่มสูงขึ้น
แต่มันไม่ได้นำเอาพฤติกรรมของนักลงทุนมาวิเคราะห์รวมเข้าไปด้วย ต่อมาจึงเริ่มมีการหันมาใช้หลักการวิเคราะห์ทางเทคนิคขึ้น ซึ่งในระยะแรกๆที่มันถูกนำมาใช้ในช่วงทศวรรษปี 70 นั้น มันถูกวิจารณ์ว่าเป็น “ปาหี่” หลอกต้มนักลงทุนด้วยซ้ำไป
หลักการวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้นเชื่อว่า “นักเก็งกำไร” คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในทุกๆตลาดและทุกๆช่วงเวลา และนักเก็งกำไรเหล่านี้มักจะทำสิ่งเดิมๆซ้ำไปซ้ำมา จนกลายเป็น พฤติกรรมตามหมู่ของฝูงชน ที่จะสังเกตเห็นได้จนเกิดเป็นสถิติที่น่าเชื่อถือขึ้นมา
บรรดานักวิเคราะห์ทางเทคนิค มักจะยืนยันว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้น มีข้อได้เปรียบอยู่มากมาย เพราะมันคือการวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัจจุบัน และผลจากในอดีต ซึ่งจะทำให้สามารถคาดคะเนถึงความเป็นไปได้ในอนาคตได้มากขึ้น
เพราะอย่างนั้น คุณจึงมักจะได้เห็นหรือได้ยิน บรรดานักวิเคราะห์ทางเทคนิค ที่อาจจะเป็น “มาร์เก็ตติ้ง”ตามห้องค้า หรือ “นักวิเคราะห์” ในแวดวงโบรคเกอร์ที่มักจะให้คำแนะนำ เกี่ยวกับเรื่อง ของ “แนวรับ-แนวต้าน” “ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง” และ “กราฟ” สารพัดรูปแบบ เพื่อประกอบการคาดคะเนแนวโน้มของระดับราคาหุ้นในแต่ละวัน
แต่ผมคงต้องพูดตามตรงเกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคว่า ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่สูตรสำเร็จในการช่วยให้คุณสามารถที่จะมีกำไรได้อย่างสม่ำเสมอครับ ต่อให้คุณเล่นตามตัวชี้วัด หรือ Indicator ต่างๆ หรือ นั่งเพ่งมองหา “สัญญาณ”จากรูปแบบต่างๆในกราฟ ก็ไม่ต่างอะไรกับการ “ขูด” ขอ “หวย” ตามต้นไม้ประหลาดหรอกครับ
ถึงที่สุดแล้วมันก็ยังคงเป็นเพียงเครื่องมือวิเคราะห์ตัวหนึ่ง และนักเก็งกำไรมือสมัครเล่นส่วนใหญ่ก็ยังจะขาดทุนอยู่ดีครับ เพราะบ่อยครั้งที่บรรดามือสมัครเล่นเหล่านี้มักจะไม่ได้ลงมือกระทำในสิ่งที่ควรจะทำ ทั้งๆที่มีสัญญาณทางเทคนิคบอกเอาไว้
อะไรคือ “กำแพง” ที่ขวางกั้น ระหว่างการวิเคราะห์ กับสิ่งที่บรรดมือสมัครเล่นปฏิบัติจริงๆ Mark J.Douglas เซียนหุ้นคนหนึ่งที่เขียนตำรา Trading in the Zone เรียกมันว่า “ช่องว่างทางจิตวิทยา”และช่องว่างนี้เองที่ทำให้ “การเก็งกำไร” เป็นสิ่งที่ยากยิ่งและต้องใช้ความพยายามอย่างมากมาย
การที่เราสามารถเห็นโอกาสบางอย่างขึ้นมาและทำในสิ่งต่างๆอย่างที่เราคิดนั้น ดูเหมือนเป็นเรื่องที่ง่าย แต่นี่คือสิ่งที่แยกนักเก็งกำไรที่ล้มเหลวออกจากนักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่เครื่องมือทางเทคนิคชิ้นใหม่ล่าสุด หรือความสามารถในการวิเคราะห์ที่ละเอียดกว่าเดิม
นักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จได้นั้น จะต้องเรียนรู้ที่จะคิดและสร้างทัศนคติในทางที่ต่างออกไป ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถตอบสนองต่อสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี พวกเขาได้เข้าถึงความเชื่อบางอย่าง ซึ่งช่วยให้สามารถรักษาวินัยและสมาธิเอาไว้ได้ และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น คือ ความเชื่อมั่นในตนเอง แม้ในช่วงเวลาที่ย่ำแย่ที่สุดครับ
นักเก็งกำไรชั้นยอดนั้น ต้องสามารถซื้อ-ขายได้โดยไร้ความลังเลใจ แม้ในช่วงเวลาที่ขาดทุน พวกเขาทำสิ่งต่างๆได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยยอมรับถึงการขาดทุนที่เกิดขึ้นครับ
การเก็งกำไรได้ดีนั้น คือการที่คุณสามารถเช้าซื้อขาย ได้ตามกฎหรือระบบของคุณ ซึ่งไม่เกี่ยวกับว่าคุณจะได้กำไรหรือขาดทุน และนี่คือสิ่งที่นักเก็งกำไรชั้นยอดทำครับ
Mark J.Douglas พูดเอาไว้ว่า นักเก็งกำไรที่ดี ต้องสามารถตัดขาดทุนได้ โดยไร้ความลังเลใจ โดยไม่เกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้น แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม และนี่คือสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างที่ทำให้สามารถในการที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า
หากว่าคุณขายมันทิ้งไปแล้ว หรือวันนี้จบลงแล้ว คุณต้องก้าวต่อไป คุณต้องเตรียมตัวสำหรับวันใหม่ และโอกาสใหม่ๆ แต่หากว่าคุณยังถูกครอบงำจากการเก็งกำไรครั้งที่เพิ่งคุณขาดทุนมา คุณจะถูกครอบงำโดยอารมณ์ และคุณจะไม่สามารถตั้งสมาธิไปยังโอกาสครั้งใหม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น เหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้นักเก็งกำไรมือสมัครเล่นส่วนใหญ่มักจะถือหุ้นที่ขาดทุนอยู่ก็เพราะ พวกเขายังคงรู้สึกเจ็บปวดจากการขาดทุนที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น และไม่ยอมรับถึงความเสี่ยงจากการลงทุนได้นั่นเอง
พวกเขาควรรู้สึกอย่างซาบซึ้งว่า เมื่อคุณเข้าซื้อหุ้น คุณอาจคิดผิดก็ได้ และมันยังจะเกิดขึ้นอยู่เรื่อยไป และเมื่อพวกเขาสามารถยอมรับความจริงว่าไม่สามารถวิเคราะห์ได้ถูกต้องทุกครั้ง หรือ กราฟอาจจะไม่เป็นจริงก็ได้ การเก็งกำไรจึงอาจผิดพลาดได้
แต่หากพวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริงว่ามันอาจไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ เมื่อไรที่มันวิ่งสวนทางกับสิ่งที่วิเคราะห์ผิดไป แต่ก็ยังไม่ยอมรับ ยังคงถือขาดทุนอยู่ต่อไป ในที่สุดมันก็จะทำให้เริ่ม “ตาบอด” จนมองไม่เห็นสิ่งต่างๆเลย
กว่า 95% ของความผิดพลาดต่างๆที่เกิดขึ้นในการเก็งกำไร ที่ทำให้เงินของคุณหายไปกับตานั้น เกิดมาจากทัศนคติของคุณเองเกี่ยวกับเรื่อง “ความกลัวในการเก็งกำไร 4 ประเภท” นั่นก็คือ ความกลัวที่จะผิดพลาด ความกลัวที่จะขาดทุน กลัวที่จะพลาดโอกาส และกลัวที่กำไรจะหายไปนั่นเอง
ตราบใดที่คุณยังหวั่นไหวจากความกลัวเหล่านี้ คุณจะไม่สามารถเชื่อมั่นในตนเองได้ หรือแม้กระทั่งกระทำสิ่งที่คุณคิดได้ละก็ ความสำเร็จอย่างสม่ำเสมอในการเก็งกำไรจะไม่มีวันเป็นไปได้สำหรับคุณครับ
มาถึงตรงนี้คงได้คำตอบนะครับ ชีวิต มีทางที่ต้องเลือกเดินครับ เพราะหากจะหวังเอาดีทั้งสองทาง มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับบนโลกแห่งการลงทุน ลองถามใจตัวเองให้ดีว่า คุณจะเลือกที่จะเป็นนักลงทุนระยะยาว หรือต้องการจะเป็น “นักเก็งกำไร” แต่ที่สำคัญแน่ใจหรือครับว่า ขนาดของ”หัวใจ”ของคุณนั้นแกร่งพอ!!!
ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะที่ผ่านมาผมไม่ค่อยจะพบคนที่ประสบความสำเร็จจากการลงทุนในลักษณะดังกล่าวมากนัก ยกเว้นบรรดาขาใหญ่เงินหนา มากบารมีทางการเมือง แถมยังมีเครือข่ายยุบยับ ที่ประพฤติตัวเป็น “นักปั่นหุ้น” ที่อาศัยความโลภของคนอื่นในการทำเงิน ท้าทายกฏเกณฑ์ของทางการฯที่เปลี่ยนหน้า เปลี่ยนตัวกันมาโลดแล่นอยู่ในตลาดหุ้นฯทุกยุคทุกสมัย
ปัจจุบันถึงแม้บรรดา “นักเก็งกำไร” จะพยายามอาศัยวิธีการต่างๆในการวิเคราะห์หุ้น เช่นการวิเคราะห์หุ้นด้วยปัจจัยพื้นฐาน และการวิเคราะห์ทางเทคนิคแต่หลายคนก็ยังสงสัยว่า หากวิธีการเหล่านี้ ได้ผลดีจริงๆหรือ ทำไมนักเล่นหุ้นส่วนใหญ่จึงยังขาดทุน ทั้งๆที่บางครั้งตลาดหุ้นอยู่ในภาวะ “กระทิง”เสียด้วยซ้ำไป
ในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นนั้น เราจะอาศัยข้อมูล และปัจจัยที่เป็นตัวแปรในด้านต่างๆ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อฐานะการเงินของบริษัทฯ โดยวิเคราะห์ถึงความต้องการสินค้า และปัจจัยทางเศรษฐกิจต่างๆ เพื่อทำการประเมินและคาดคะเนไปถึงผลประกอบการของบริษัทฯที่เราเข้าไปลงทุนซื้อหุ้น โดยนอกเหนือจากต้องการผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลแล้ว เรายังหวังถึงกำไรที่จะได้จ่ากส่วนต่างของราคา (Capital Gain) ที่จะได้รับ หากระดับราคาของหุ้นเพิ่มสูงขึ้น
แต่มันไม่ได้นำเอาพฤติกรรมของนักลงทุนมาวิเคราะห์รวมเข้าไปด้วย ต่อมาจึงเริ่มมีการหันมาใช้หลักการวิเคราะห์ทางเทคนิคขึ้น ซึ่งในระยะแรกๆที่มันถูกนำมาใช้ในช่วงทศวรรษปี 70 นั้น มันถูกวิจารณ์ว่าเป็น “ปาหี่” หลอกต้มนักลงทุนด้วยซ้ำไป
หลักการวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้นเชื่อว่า “นักเก็งกำไร” คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในทุกๆตลาดและทุกๆช่วงเวลา และนักเก็งกำไรเหล่านี้มักจะทำสิ่งเดิมๆซ้ำไปซ้ำมา จนกลายเป็น พฤติกรรมตามหมู่ของฝูงชน ที่จะสังเกตเห็นได้จนเกิดเป็นสถิติที่น่าเชื่อถือขึ้นมา
บรรดานักวิเคราะห์ทางเทคนิค มักจะยืนยันว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้น มีข้อได้เปรียบอยู่มากมาย เพราะมันคือการวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัจจุบัน และผลจากในอดีต ซึ่งจะทำให้สามารถคาดคะเนถึงความเป็นไปได้ในอนาคตได้มากขึ้น
เพราะอย่างนั้น คุณจึงมักจะได้เห็นหรือได้ยิน บรรดานักวิเคราะห์ทางเทคนิค ที่อาจจะเป็น “มาร์เก็ตติ้ง”ตามห้องค้า หรือ “นักวิเคราะห์” ในแวดวงโบรคเกอร์ที่มักจะให้คำแนะนำ เกี่ยวกับเรื่อง ของ “แนวรับ-แนวต้าน” “ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง” และ “กราฟ” สารพัดรูปแบบ เพื่อประกอบการคาดคะเนแนวโน้มของระดับราคาหุ้นในแต่ละวัน
แต่ผมคงต้องพูดตามตรงเกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคว่า ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่สูตรสำเร็จในการช่วยให้คุณสามารถที่จะมีกำไรได้อย่างสม่ำเสมอครับ ต่อให้คุณเล่นตามตัวชี้วัด หรือ Indicator ต่างๆ หรือ นั่งเพ่งมองหา “สัญญาณ”จากรูปแบบต่างๆในกราฟ ก็ไม่ต่างอะไรกับการ “ขูด” ขอ “หวย” ตามต้นไม้ประหลาดหรอกครับ
ถึงที่สุดแล้วมันก็ยังคงเป็นเพียงเครื่องมือวิเคราะห์ตัวหนึ่ง และนักเก็งกำไรมือสมัครเล่นส่วนใหญ่ก็ยังจะขาดทุนอยู่ดีครับ เพราะบ่อยครั้งที่บรรดามือสมัครเล่นเหล่านี้มักจะไม่ได้ลงมือกระทำในสิ่งที่ควรจะทำ ทั้งๆที่มีสัญญาณทางเทคนิคบอกเอาไว้
อะไรคือ “กำแพง” ที่ขวางกั้น ระหว่างการวิเคราะห์ กับสิ่งที่บรรดมือสมัครเล่นปฏิบัติจริงๆ Mark J.Douglas เซียนหุ้นคนหนึ่งที่เขียนตำรา Trading in the Zone เรียกมันว่า “ช่องว่างทางจิตวิทยา”และช่องว่างนี้เองที่ทำให้ “การเก็งกำไร” เป็นสิ่งที่ยากยิ่งและต้องใช้ความพยายามอย่างมากมาย
การที่เราสามารถเห็นโอกาสบางอย่างขึ้นมาและทำในสิ่งต่างๆอย่างที่เราคิดนั้น ดูเหมือนเป็นเรื่องที่ง่าย แต่นี่คือสิ่งที่แยกนักเก็งกำไรที่ล้มเหลวออกจากนักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่เครื่องมือทางเทคนิคชิ้นใหม่ล่าสุด หรือความสามารถในการวิเคราะห์ที่ละเอียดกว่าเดิม
นักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จได้นั้น จะต้องเรียนรู้ที่จะคิดและสร้างทัศนคติในทางที่ต่างออกไป ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถตอบสนองต่อสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี พวกเขาได้เข้าถึงความเชื่อบางอย่าง ซึ่งช่วยให้สามารถรักษาวินัยและสมาธิเอาไว้ได้ และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น คือ ความเชื่อมั่นในตนเอง แม้ในช่วงเวลาที่ย่ำแย่ที่สุดครับ
นักเก็งกำไรชั้นยอดนั้น ต้องสามารถซื้อ-ขายได้โดยไร้ความลังเลใจ แม้ในช่วงเวลาที่ขาดทุน พวกเขาทำสิ่งต่างๆได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยยอมรับถึงการขาดทุนที่เกิดขึ้นครับ
การเก็งกำไรได้ดีนั้น คือการที่คุณสามารถเช้าซื้อขาย ได้ตามกฎหรือระบบของคุณ ซึ่งไม่เกี่ยวกับว่าคุณจะได้กำไรหรือขาดทุน และนี่คือสิ่งที่นักเก็งกำไรชั้นยอดทำครับ
Mark J.Douglas พูดเอาไว้ว่า นักเก็งกำไรที่ดี ต้องสามารถตัดขาดทุนได้ โดยไร้ความลังเลใจ โดยไม่เกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้น แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม และนี่คือสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างที่ทำให้สามารถในการที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า
หากว่าคุณขายมันทิ้งไปแล้ว หรือวันนี้จบลงแล้ว คุณต้องก้าวต่อไป คุณต้องเตรียมตัวสำหรับวันใหม่ และโอกาสใหม่ๆ แต่หากว่าคุณยังถูกครอบงำจากการเก็งกำไรครั้งที่เพิ่งคุณขาดทุนมา คุณจะถูกครอบงำโดยอารมณ์ และคุณจะไม่สามารถตั้งสมาธิไปยังโอกาสครั้งใหม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น เหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้นักเก็งกำไรมือสมัครเล่นส่วนใหญ่มักจะถือหุ้นที่ขาดทุนอยู่ก็เพราะ พวกเขายังคงรู้สึกเจ็บปวดจากการขาดทุนที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น และไม่ยอมรับถึงความเสี่ยงจากการลงทุนได้นั่นเอง
พวกเขาควรรู้สึกอย่างซาบซึ้งว่า เมื่อคุณเข้าซื้อหุ้น คุณอาจคิดผิดก็ได้ และมันยังจะเกิดขึ้นอยู่เรื่อยไป และเมื่อพวกเขาสามารถยอมรับความจริงว่าไม่สามารถวิเคราะห์ได้ถูกต้องทุกครั้ง หรือ กราฟอาจจะไม่เป็นจริงก็ได้ การเก็งกำไรจึงอาจผิดพลาดได้
แต่หากพวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริงว่ามันอาจไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ เมื่อไรที่มันวิ่งสวนทางกับสิ่งที่วิเคราะห์ผิดไป แต่ก็ยังไม่ยอมรับ ยังคงถือขาดทุนอยู่ต่อไป ในที่สุดมันก็จะทำให้เริ่ม “ตาบอด” จนมองไม่เห็นสิ่งต่างๆเลย
กว่า 95% ของความผิดพลาดต่างๆที่เกิดขึ้นในการเก็งกำไร ที่ทำให้เงินของคุณหายไปกับตานั้น เกิดมาจากทัศนคติของคุณเองเกี่ยวกับเรื่อง “ความกลัวในการเก็งกำไร 4 ประเภท” นั่นก็คือ ความกลัวที่จะผิดพลาด ความกลัวที่จะขาดทุน กลัวที่จะพลาดโอกาส และกลัวที่กำไรจะหายไปนั่นเอง
ตราบใดที่คุณยังหวั่นไหวจากความกลัวเหล่านี้ คุณจะไม่สามารถเชื่อมั่นในตนเองได้ หรือแม้กระทั่งกระทำสิ่งที่คุณคิดได้ละก็ ความสำเร็จอย่างสม่ำเสมอในการเก็งกำไรจะไม่มีวันเป็นไปได้สำหรับคุณครับ
มาถึงตรงนี้คงได้คำตอบนะครับ ชีวิต มีทางที่ต้องเลือกเดินครับ เพราะหากจะหวังเอาดีทั้งสองทาง มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับบนโลกแห่งการลงทุน ลองถามใจตัวเองให้ดีว่า คุณจะเลือกที่จะเป็นนักลงทุนระยะยาว หรือต้องการจะเป็น “นักเก็งกำไร” แต่ที่สำคัญแน่ใจหรือครับว่า ขนาดของ”หัวใจ”ของคุณนั้นแกร่งพอ!!!